อยากสร้างรายได้เสริมแบบไม่ต้องลงทุนเยอะ แถมยังทำงานจากที่ไหนก็ได้หรือเปล่า? ถ้าคำตอบคือ “ใช่” การทำ Affiliate Marketing อาจเป็นคำตอบที่คุณตามหา! หลายคนอาจจะสงสัยว่า Affiliate marketing ทํายังไง ถึงจะสร้างรายได้แบบ Passive Income จริง ๆ ไม่ต้องคิดเยอะเพราะวันนี้ Wizdom จะมาเปิดคู่มือฉบับสมบูรณ์ให้คุณเอง ตามมาอ่านกันได้เลย!
Affiliate Marketing คืออะไร?
Affiliate Marketing คือ การตลาดที่เป็นการสร้างรายได้ออนไลน์ผ่านค่าคอมมิชชั่นจากการโปรโมตสินค้า เรียกง่าย ๆ ที่หลายคนคุ้นหูกันอยู่แล้วว่า ‘นายหน้าออนไลน์’ ที่คอยช่วยโปรโมตหรือแนะนำสินค้า/บริการของแบรนด์ต่าง ๆ ผ่านช่องทางของเราเอง เช่น Facebook, YouTube, TikTok หรือเว็บไซต์ส่วนตัว โดยเราจะได้รับ ‘ลิงก์ Affiliate ’ มาเป็นของตัวเอง
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนคลิกลิงก์ของเราแล้วเข้าไปทำอะไรบางอย่างตามที่แบรนด์กำหนดไว้ เช่น กดสั่งซื้อสินค้าจนสำเร็จ หรือกรอกข้อมูลสมัครสมาชิก เราก็จะได้รับส่วนแบ่งเป็น ‘ค่าคอมมิชชั่น’ เป็นการตอบแทน ถือเป็นวิธีที่ Win-Win ทั้งคู่ เพราะแบรนด์ก็ได้ยอดขายเพิ่ม ส่วนเราก็สร้างรายได้โดยที่ไม่ต้องวุ่นวายสต็อกของหรือมีสินค้าเป็นของตัวเองเลย
Affiliate Marketing มีกี่ประเภท?
การตลาดแบบ Affiliate มีหลายสไตล์ให้เลือกหลัก ๆ แล้วจะแบ่งได้ 3 ประเภท ลองมาดูกันว่าแบบไหนจะเข้ากับเราที่สุด
- แบบไม่ผูกพัน (Unattached Affiliate Marketing)
สไตล์นี้คือการโปรโมตแบบไม่ได้อินกับสินค้าเป็นพิเศษ แค่เอาลิงก์ไปแปะตามที่ต่าง ๆ แล้วหวังว่าจะมีคนคลิกเข้ามาซื้อเอง ไม่ต้องสร้างคอนเทนต์รีวิวอะไรให้มากมาย เหมาะกับคนที่มีเว็บไซต์หรือช่องทางที่มีคนเข้าออกเยอะอยู่แล้ว
- แบบเกี่ยวข้อง (Related Affiliate Marketing)
แบบนี้จะขยับขึ้นมาอีกระดับ คือเรามีช่องทางที่เนื้อหาเกี่ยวข้องกับสินค้าที่โปรโมตอยู่แล้ว เช่น เราทำเพจเกี่ยวกับน้องหมา ก็ไปเอาสินค้าอย่างอาหารหรือของเล่นสุนัขมาแนะนำ แบบนี้จะดูน่าเชื่อถือขึ้นมาหน่อย เพราะกลุ่มเป้าหมายตรงกัน แต่เราอาจจะยังไม่เคยลองใช้สินค้าชิ้นนั้นจริง ๆ ก็ได้
- แบบเคยใช้จริง/มีส่วนร่วม (Involved Affiliate Marketing)
นี่คือแบบขั้นสุดของความน่าเชื่อถือ เป็นการที่เราได้ลองใช้สินค้าหรือบริการนั้นจริง ๆ แล้วชอบมากจนอยากบอกต่อ การรีวิวจะออกมาจากใจและประสบการณ์ตรง ทำให้คนฟังรู้สึกอินและเชื่อตามได้ง่ายที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่นายหน้ามืออาชีพที่ประสบความสำเร็จก็มักจะทำสไตล์นี้กันเยอะ
6 ขั้นตอนการทำ Affiliate Marketing ง่าย ๆ อยู่ที่ไหนก็ทำได้
คราวนี้มาถึงส่วนที่ลงมือทำจริงแล้ว! เรามาดูกันเลยว่า Affiliate marketing ทํายังไง ผ่าน 6 ขั้นตอนที่ใคร ๆ ก็เริ่มทำตามได้ทันที
Step 1 ค้นหาตลาดที่ใช่ และเลือกสินค้าที่ชอบ
ก่อนอื่นเลย เราต้องเลือกกลุ่มตลาด (Niche) ที่เราอินกับมันจริง ๆ ก่อนเลย อาจจะเป็นเรื่องที่เราชอบคุย, ชอบอ่าน หรือมีความรู้อยู่แล้ว เช่น สกินแคร์, อุปกรณ์แคมป์ปิ้ง, การแต่งบ้าน, เกม หรือแม้แต่คอร์สเรียนออนไลน์ พอเราเลือกเรื่องที่ใช่ การเลือกสินค้าที่ชอบมาแนะนำต่อมันจะง่ายและดูจริงใจขึ้น
Step 2 สร้างช่องทางสำหรับโปรโมตสินค้า
เมื่อมีสินค้าในใจแล้ว ก็ต้องสร้างพื้นที่ของเราบนโลกออนไลน์ เพื่อใช้เป็นพื้นที่บอกต่อ อาจจะเป็นเพจ Facebook ที่เราสร้างขึ้นมาใหม่, ช่อง YouTube, แอคเคาท์ TikTok หรือ Instagram ก็ได้ เลือกช่องทางที่เราถนัดและคิดว่ากลุ่มเป้าหมายของเราน่าจะใช้เวลาอยู่ตรงนั้นมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่าง แค่เลือก 1-2 ช่องทางหลักแล้วปั้นให้ดีก็พอ
Step 3 สมัครเป็นนายหน้า
ต่อไปก็ยื่นใบสมัครเป็นนายหน้ากับเจ้าของสินค้า โดยส่วนใหญ่เราสามารถเข้าไปสมัครได้โดยตรงที่หน้าเว็บไซต์ของแบรนด์นั้น ๆ ได้เลย ให้มองหาคำว่า “Affiliate Program” หรือจะสมัครผ่านตัวกลางที่เรียกว่า “Affiliate Network” ซึ่งเป็นเหมือนห้างสรรพสินค้าที่รวมดีลจากหลาย ๆ แบรนด์มาให้เราเลือก ขั้นตอนนี้ไม่ยุ่งยาก แค่กรอกข้อมูลส่วนตัวและช่องทางที่เราจะใช้โปรโมต รออนุมัติแป๊บเดียวก็ได้ลิงก์ Affiliate มาแล้ว
Step 4 สร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดลูกค้า
นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด! แทนที่จะโพสต์แค่ลิงก์แล้วบอกให้คนซื้ออย่างเดียว ลองเปลี่ยนมาเป็นการสร้างคอนเทนต์ที่ให้ประโยชน์กับคนดู เช่น เขียนรีวิวเล่าประสบการณ์หลังใช้จริง, ทำคลิปวิดีโอสอนวิธีใช้, หรือเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียให้ดูกันชัด ๆ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเรามาแนะนำของดี ๆ แล้วค่อยสอดแทรกลิงก์ของเราเข้าไปแบบเนียน ๆ
Step 5 โปรโมตลิงก์ Affiliate
มีคอนเทนต์ดี ๆ แล้ว ก็ต้องทำให้คนเห็นด้วย! นอกจากจะโพสต์ในช่องทางหลักของเรา ลองนำไปแชร์ในกลุ่ม Facebook ที่เกี่ยวข้อง หรือถ้าทำคอนเทนต์บนเว็บไซต์ ก็ลองศึกษาเรื่องการทำ SEO เพื่อให้มีคนค้นหาแล้วเจอคอนเทนต์ของเราได้เลย
Step 6 วิเคราะห์ผลและปรับกลยุทธ์เพื่อรายได้ที่ยั่งยืน
ผู้ให้บริการ Affiliate ส่วนใหญ่จะมีระบบหลังบ้านให้เราเข้าไป “เช็กคะแนน” ได้ตลอดว่าลิงก์ที่เราโปรโมตไปมีคนคลิกเท่าไหร่, สร้างยอดขายได้กี่บาท ให้เราหมั่นเข้าไปดูบ่อย ๆ เพื่อจะได้รู้ว่าคอนเทนต์แบบไหนคนชอบ หรือสินค้าตัวไหนขายดี แล้วเอาข้อมูลพวกนี้มาปรับแผนการทำคอนเทนต์ในครั้งต่อไป การทำแบบนี้จะช่วยให้เราทำงานได้ฉลาดขึ้นและสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว
รูปแบบรายได้ของ Affiliate Marketing
รูปแบบการจ่ายค่าคอมมิชชั่นมีหลายแบบ แต่ละแบบก็จะมีเงื่อนไขต่างกันไปนิดหน่อย ที่เจอกันบ่อยก็จะมี 4 แบบ ดังนี้
- Pay Per Sale (PPS)
แบบนี้เจอบ่อยที่สุด คือ เราจะได้เงินก็ต่อเมื่อมีคนคลิกลิงก์ของเราแล้ว “ซื้อของจนจ่ายเงินสำเร็จ” เท่านั้น ส่วนใหญ่เราจะได้ค่าคอมมิชชั่นเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย เช่น สินค้าราคา 1,000 บาท เราได้ค่าคอมฯ 10% ก็รับไปเลย 100 บาท ยิ่งขายได้เยอะก็ได้เยอะตามไปด้วย
- Pay Per Lead (PPL)
รูปแบบนี้สบายขึ้นมาหน่อย เพราะแค่เราหา “ลูกค้ามุ่งหวัง” ให้แบรนด์ได้ เราก็ได้เงินแล้ว แม้ว่าเค้าจะยังไม่ซื้อของก็ตาม ลูกค้ามุ่งหวังในที่นี้ก็ เช่น การสมัครสมาชิก, การลงทะเบียนเพื่อรับสินค้าทดลอง หรือการกรอกฟอร์มขอข้อมูลติดต่อ
- Pay Per Click (PPC)
แบบนี้ถือว่าง่ายสุด แค่มีคน “คลิก” ที่ลิงก์ของเรา เราก็ได้เงินทันทีไม่ต้องสนใจว่าเค้าจะเข้าไปซื้อของหรือทำอะไรต่อ แต่แน่นอนว่าค่าตอบแทนต่อคลิกก็จะน้อยมาก เหมาะกับคนที่มีช่องทางที่คนเห็นเยอะ คลิกเยอะก็รวมกันเป็นเงินก้อนได้เหมือนกัน
- Pay Per Install (PPI)
รูปแบบนี้จะเจาะจงไปที่การโปรโมตแอปพลิเคชันบนมือถือ เงื่อนไขก็ตามชื่อเลย เราจะได้เงินเมื่อมีคนคลิกลิงก์ของเราแล้วกด “ติดตั้งแอปพลิเคชัน” นั้นสำเร็จ เป็นอีกรูปแบบที่ตรงไปตรงมาและวัดผลง่าย
Affiliate Marketing ที่นิยมในไทยมีอะไรบ้าง
พอเรารู้จักรูปแบบรายได้แล้ว ก็มาถึงคำถามสำคัญว่า แล้วจะไปทำ Affiliate กับเจ้าไหนดี? ในไทยเรามีตัวเลือกที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
แพลตฟอร์ม E-commerce
E-commerce คือบรรดาเว็บช้อปปิ้งออนไลน์ที่เราเข้าไปซื้อของกันเป็นประจำนั่นเอง การสมัคร Affiliate กับเว็บเหล่านี้ดีตรงที่สินค้ามีให้เลือกเยอะมาก อย่างเช่น
Shopee Affiliate Program
เรียกได้ว่าเป็นแอปช้อปปิ้งยืนหนึ่งในใจคนไทย ด้วยความที่มีสินค้าหลากหลายหมวดหมู่ ทำให้ไม่ว่าเราจะทำคอนเทนต์สายไหน ก็สามารถหาสินค้าที่ใช่มาโปรโมตได้ง่าย แถมยังมีแคมเปญใหญ่ ๆ ให้เล่นตลอดทั้งปี ช่วยให้สร้างคอนเทนต์กระตุ้นยอดขายได้ง่ายขึ้น
Lazada Affiliate Program
อีกหนึ่งคู่แข่งของ Shopee ที่มีฐานลูกค้าแน่นและมีสินค้าให้เลือกเยอะไม่แพ้กัน หลายคนก็มักจะสมัคร Affiliate ไว้ทั้งสองเจ้าเพื่อจะได้มีตัวเลือกสินค้าและโปรโมชั่นมาแนะนำผู้ติดตามได้หลากหลายขึ้น
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
กลุ่มนี้คือการใช้โซเชียลมีเดียที่เราเล่นกันอยู่ทุกวันให้กลายเป็นเครื่องมือสร้างเงินนั่นเอง เหมาะกับสายทำคอนเทนต์โดยเฉพาะ
TikTok
นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก TikTok เป็นการนำเสนอรูปแบบวิดีโอสั้นที่เข้าใจง่ายบวกกับฟีเจอร์ TikTok Shop ทำให้การ “ป้ายยา” ทำได้ง่ายและเห็นผลเร็วมาก แค่ทำคลิปรีวิวสนุก ๆ แล้วแปะลิงก์ตะกร้า คนก็พร้อมกดสั่งซื้อสินค้าตามได้ทันที
Facebook & Instagram
แพลตฟอร์มสุดคลาสสิกที่ยังคงใช้ได้ผลเสมอ เป็นช่องทางที่ดีในการสร้างตัวตนและพูดคุยกับผู้ติดตาม เราสามารถแปะลิงก์ Affiliate ในโพสต์, ในสตอรี่ หรือในกลุ่มที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อแนะนำสินค้าให้กับคนในคอมมูนิตี้ของเราได้โดยเฉพาะ
YouTube
ถ้าใครเป็นสายทำคลิปยาว ๆ อธิบายละเอียด หรือสอนการใช้งานสินค้าต่าง ๆ YouTube คือช่องทางที่ตอบโจทย์เลย เพราะผู้ชมพร้อมจะใช้เวลาดูและเชื่อในสิ่งที่เราแนะนำจริง ๆ จากนั้นก็แปะลิงก์ Affiliate ไว้ใต้คลิปให้คนตามไปซื้อกันได้สบาย ๆ
สรุป
Affiliate Marketing คือการสร้างรายได้ออนไลน์ผ่านค่าคอมมิชชั่นจากการโปรโมตสินค้า โดยที่เราไม่ต้องสต็อกของหรือลงทุนสูง คำถามสำคัญว่า Affiliate marketing ทํายังไง ให้สำเร็จนั้น ต้องเริ่มจากการเลือกช่องทางสำหรับโปรโมทสินค้า, การสร้างคอนเทนต์ที่ดี และรวมไปถึงการทำให้กลุ่มเป้าหมายหาเราเจอด้วย
FAQ
Post Views: 577