Core Web Vitals คืออะไร? ปัจจัยใหม่ที่ส่งผลต่อ SEO และอันดับเว็บไซต์

Core Web Vitals คืออะไร? ปัจจัยใหม่ที่ส่งผลต่อ SEO และอันดับเว็บไซต์
Core Web Vitals คืออะไร? จริง ๆ เเล้ว Core Web Vitals คือชุดตัวชี้วัดที่ Google ใช้ในการประเมินประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยเน้นที่ความเร็วในการโหลดและความราบรื่นในการใช้งาน ตัวชี้วัดนี้ช่วยให้ Google ประเมินว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพในการใช้งานดีแค่ไหน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำ SEO และการติดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google วันนี้ Wizdom จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า Core Web Vitals สำคัญอย่างไรสำหรับการพัฒนา SEO และการเพิ่มอันดับเว็บไซต์ของคุณบน Google!

Core Web Vitals คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ?

Core Web Vitals คือชุดตัวชี้วัดที่ Google ใช้ในการประเมินประสบการณ์การใช้งาน (User Experience) ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยเน้นที่ความเร็วในการโหลดและความสะดวกในการใช้งานของเว็บไซต์ ตัวชี้วัดเหล่านี้สำคัญมาก เพราะ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ และหากเว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพดีในด้านนี้ จะช่วยให้คุณมีโอกาสติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา
ทำไมมันถึงสำคัญ? เพราะถ้าเว็บไซต์ของคุณทำได้ดีในด้าน Core Web Vitals จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น ซึ่ง Google จะพิจารณาเว็บไซต์เหล่านี้ให้มีอันดับที่สูงกว่าเว็บไซต์ที่โหลดช้าหรือมีปัญหาด้านการใช้งาน
เเปลง่าย ๆ คือ Core Web Vitals ช่วยให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดี เมื่อเว็บไซต์โหลดเร็วและใช้งานง่าย ผู้ใช้ก็จะพึงพอใจ และเว็บไซต์ของคุณก็มีโอกาสเติบโตในการแข่งขัน SEO มากขึ้น!
องค์ประกอบของ Core Web Vitals มีอะไรบ้าง

องค์ประกอบของ Core Web Vitals มีอะไรบ้าง?

Core Web Vitals เดิมจะประกอบด้วย 3 เกณฑ์หลัก ได้แก่ LCP (Largest Contentful Paint), CLS (Cumulative Layout Shift) และ FID (First Input Delay) ซึ่งใช้วัดประสบการณ์ผู้ใช้บนเว็บไซต์ แต่ในปัจจุบัน FID ได้ถูกยกเลิกไปเนื่องจากค่าผันผวนและไม่แม่นยำ จึงมีการแทนที่ด้วย INP (Interaction to Next Paint) รวมทั้งมีการเพิ่มตัวชี้วัดใหม่อย่าง FCP (First Contentful Paint) และ TTFB (Time to First Byte)
ในปี 2025 นี้ Core Web Vitals จึงประกอบด้วย 5 เกณฑ์หลัก คือ LCP, INP, CLS, FCP และ TTFB โดย LCP, INP และ CLS ถือเป็นเกณฑ์หลัก ขณะที่ FCP และ TTFB เป็นเกณฑ์รองในการประเมินประสบการณ์ผู้ใช้งาน
Largest Contentful Paint (LCP)

Largest Contentful Paint (LCP)

LCP วัดระยะเวลาที่เว็บไซต์ใช้ในการโหลดเนื้อหาหลักที่สำคัญบนหน้าเว็บ เช่น รูปภาพขนาดใหญ่หรือข้อความหลักที่มีการแสดงผลบนหน้าเว็บ โดย LCP จะช่วยประเมินว่าเว็บไซต์นั้นโหลดได้เร็วและให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้งานหรือไม่ ซึ่ง Google แนะนำว่า LCP ควรโหลดภายใน 2.5 วินาที หรือน้อยกว่า เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์นั้นโหลดเร็วและไม่รบกวนประสบการณ์การใช้งาน

เกณฑ์มาตรฐานของ LCP

  • ดีเยี่ยม: ค่า LCP น้อยกว่า 2.5 วินาที
  • ควรปรับปรุง: ค่า LCP ระหว่าง 2.5 – 4 วินาที
  • ไม่ดี ปรับปรุงด่วน: ค่า LCP มากกว่า 4 วินาที

ปัจจัยที่ทำให้ LCP ช้า

  • ขนาดไฟล์ภาพใหญ่ ภาพขนาดใหญ่ที่ไม่ได้บีบอัดจะทำให้การโหลดช้าลง ควรบีบอัดและใช้ไฟล์ภาพที่เหมาะสม
  • การตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ช้า เซิร์ฟเวอร์ช้าในการตอบสนองทำให้การโหลดช้า ควรใช้ CDN หรือเพิ่มประสิทธิภาพเซิร์ฟเวอร์
  • การใช้ JavaScript หรือ CSS ที่หนัก สคริปต์และไฟล์ CSS ใหญ่ทำให้โหลดช้า ควรบีบอัดและโหลดเฉพาะที่จำเป็น
  • การใช้ Lazy Load ไม่ถูกต้อง การใช้ Lazy Load กับเนื้อหาหลักทำให้ LCP ช้า ควรใช้กับเนื้อหาที่ไม่สำคัญ
  • การโหลดเนื้อหาภายนอก การโหลดข้อมูลจากแหล่งภายนอก ทำให้ LCP ช้า ควรตรวจสอบแหล่งข้อมูลเหล่านั้น

 วิธีแก้ไขการทำให้ LCP เร็วขึ้น

  • ปรับขนาดภาพ และบีบอัดไฟล์ ให้เล็กลง
  • ใช้ CDN และเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์
  • ลดขนาดและแยก JavaScript/CSS เพื่อให้โหลดเฉพาะที่จำเป็น
  • ใช้เทคนิค Lazy Loading กับองค์ประกอบที่ไม่สำคัญ
  • ตั้งค่า Cache และใช้ฟีเจอร์ Caching อย่างมีประสิทธิภาพ
Interaction to Next Paint (INP)

Interaction to Next Paint (INP)

INP คือการวัดระยะเวลาที่ใช้ในการตอบสนองหลังจากที่ผู้ใช้ทำการโต้ตอบกับเว็บไซต์ เช่น การคลิกที่ปุ่ม หรือการเลื่อนหน้าจอ การวัดนี้จะช่วยประเมินความเร็วในการแสดงผลหลังจากการโต้ตอบของผู้ใช้ ซึ่งถ้า INP อยู่ในค่าต่ำจะทำให้เว็บไซต์ตอบสนองได้รวดเร็วและไม่มีการหน่วงเวลา การมี INP ที่ต่ำจะช่วยลดความรู้สึกหงุดหงิดของผู้ใช้งาน ทำให้ประสบการณ์การใช้งานบนเว็บไซต์ดีขึ้น

เกณฑ์มาตรฐานของ INP

  • ดีเยี่ยม: ค่า INP ต่ำกว่า 200 มิลลิวินาที
  • ควรปรับปรุง: ค่า INP ระหว่าง 200 – 500 มิลลิวินาที
  • ไม่ดี ปรับปรุงด่วน: ค่า INP มากกว่า 500 มิลลิวินาที

ปัจจัยที่ส่งผลให้ INP ช้า

  • การโหลดทรัพยากรที่บล็อกการโต้ตอบ เช่น การโหลด JavaScript ขนาดใหญ่ที่บล็อกการโต้ตอบของผู้ใช้
  • การประมวลผลที่ช้า การที่เว็บไซต์มีการคำนวณที่ซับซ้อนและใช้เวลานานในการประมวลผลคำขอของผู้ใช้
  • การตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ที่ช้า เซิร์ฟเวอร์ที่ตอบสนองช้าจะทำให้เวลาการแสดงผลช้าลงหลังจากที่ผู้ใช้ทำการโต้ตอบ
  • การใช้งาน JavaScript ที่หนัก การใช้จาวาสคริปต์ที่หนักเกินไปหรือการโหลดที่ไม่เป็นระเบียบอาจทำให้เว็บไซต์หน่วงเวลาในการตอบสนอง

วิธีแก้ไขการทำให้ INP เร็วขึ้น

  • ลดขนาดของ JavaScript การบีบอัดและลดขนาดไฟล์ JavaScript จะช่วยให้การประมวลผลรวดเร็วขึ้น
  • โหลดทรัพยากรที่สำคัญก่อน การใช้เทคนิค Critical Rendering Path เพื่อโหลดทรัพยากรที่จำเป็นก่อนที่ผู้ใช้จะเริ่มโต้ตอบ
  • ใช้การโหลด Asynchronous การโหลดสคริปต์และทรัพยากรแบบ Asynchronous จะป้องกันไม่ให้การประมวลผลของเว็บไซต์บล็อกการโต้ตอบจากผู้ใช้
  • ใช้ Web Workers การใช้ Web Workers ช่วยให้การประมวลผลหนัก ๆ เกิดขึ้นในเบื้องหลังโดยไม่กระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้
Cumulative Layout Shift (CLS)

Cumulative Layout Shift (CLS)

Cumulative Layout Shift (CLS) วัดความเสถียรของเนื้อหาบนเว็บไซต์ในขณะที่ผู้ใช้กำลังโหลดหน้าเว็บไซต์ หากเนื้อหาหรือองค์ประกอบบนหน้าจอเลื่อนหรือขยับโดยไม่คาดคิด ขณะกำลังโหลด จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่สะดวกหรือรำคาญ ค่านี้ไม่ควรเกิน 0.1 เพื่อให้การใช้งานเว็บไซต์ราบรื่นและไม่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสับสน

เกณฑ์มาตรฐานของ CLS

  • ดีเยี่ยม: ค่า CLS น้อยกว่า 0.1 วินาที
  • ควรปรับปรุง: ค่า CLS ระหว่าง 0.1 – 0.25 วินาที
  • ไม่ดี ปรับปรุงด่วน: ค่า CLS มากกว่า 0.25 วินาที

ปัจจัยที่ส่งผลให้ CLS ช้า

  • โหลดภาพ/วิดีโอโดยไม่กำหนดขนาด หากไม่มีขนาดที่กำหนดไว้ ภาพหรือวิดีโอจะขยับเมื่อโหลด
  • ฟอนต์โหลดช้า ฟอนต์ที่โหลดช้าอาจทำให้ข้อความขยับจนกว่าจะโหลดเสร็จ
  • โหลดเนื้อหาภายนอกที่ไม่มีขนาด โฆษณาหรือเนื้อหาภายนอกที่ไม่ได้กำหนดขนาดทำให้เกิดการขยับ
  • การเปลี่ยนแปลงการจัดเรียงเนื้อหา การเพิ่มเนื้อหาภายหลังการโหลดหน้าเว็บอาจทำให้เลย์เอาต์ขยับ

วิธีแก้ไขการทำให้ CLS ต่ำลง

  • กำหนดขนาดของภาพและสื่อ ระบุขนาดภาพและวิดีโอใน HTML หรือ CSS เพื่อป้องกันการขยับ
  • โหลดฟอนต์ล่วงหน้า ใช้ font-display : swap เพื่อให้ฟอนต์โหลดเร็วและไม่ทำให้ข้อความขยับ
  • กำหนดขนาดของโฆษณา กำหนดขนาดของโฆษณาหรือสื่อที่ฝังจากภายนอกให้ชัดเจน เพื่อให้เลย์เอาต์ของเว็บไซต์ไม่ขยับ
  • ใช้เครื่องมือเพื่อทดสอบ CLS ใช้ Google PageSpeed Insights หรือ Web Vitals เพื่อตรวจสอบการขยับของเนื้อหาบนเว็บไซต์
  • หลีกเลี่ยงการโหลดเนื้อหาหลังจากที่หน้าเว็บโหลดเสร็จ ควรโหลดเนื้อหาครบถ้วนก่อนแสดงผลเพื่อไม่ให้เกิดการขยับ
First Contentful Paint (FCP)

First Contentful Paint (FCP)

FCP คือการวัดระยะเวลาในการโหลดเนื้อหาหรือองค์ประกอบแรกที่สามารถมองเห็นได้บนหน้าเว็บ เช่น ข้อความ รูปภาพ หรือองค์ประกอบอื่น ๆ โดยเป็นการบ่งบอกว่าเมื่อไหร่ผู้ใช้เริ่มเห็นสิ่งที่โหลดบนหน้าเว็บไซต์ เมื่อค่า FCP มีค่าน้อย แสดงว่าเว็บไซต์โหลดเนื้อหาหลักได้รวดเร็ว ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ผู้ใช้ และช่วยลดความรู้สึกหงุดหงิดจากการรอโหลดหน้าเว็บ

เกณฑ์มาตรฐานของ FCP

  • ดีเยี่ยม: ค่า FCP ไม่เกิน 1.8 วินาที
  • ควรปรับปรุง: ค่า FCP ระหว่าง 1.8 – 3.0 วินาที
  • ไม่ดี ปรับปรุงด่วน: ค่า FCP มากกว่า 3 วินาที

ปัจจัยที่ส่งผลให้ FCP ช้า

  • ขนาดไฟล์ที่ใหญ่ หากเว็บไซต์มีรูปภาพหรือเนื้อหาที่มีขนาดใหญ่เกินไป จะทำให้การโหลดช้าลง
  • การโหลดทรัพยากรจากแหล่งภายนอก การดึงข้อมูลหรือทรัพยากรจากแหล่งภายนอกอาจทำให้โหลดช้า
  • การประมวลผลบนเซิร์ฟเวอร์ที่ช้า หากเซิร์ฟเวอร์ที่เว็บไซต์ใช้โฮสต์อยู่มีประสิทธิภาพต่ำ ก็จะส่งผลต่อความเร็วในการโหลดเว็บไซต์

วิธีแก้ไขการทำให้ FCP เร็วขึ้น

  • บีบอัดไฟล์ภาพ ลดขนาดภาพและไฟล์มัลติมีเดียเพื่อลดเวลาในการโหลด
  • ใช้การโหลดแบบ Lazy Loading ใช้เทคนิคนี้กับภาพและเนื้อหาที่ไม่จำเป็นต้องแสดงในทันที
  • ใช้ CDN (Content Delivery Network) เพื่อกระจายเนื้อหาผ่านเซิร์ฟเวอร์หลาย ๆ แห่งให้ผู้ใช้งานจากทุกที่สามารถโหลดได้เร็วขึ้น
  • ปรับปรุงการตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ ใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้การแคชเพื่อลดการโหลดซ้ำ
Time To First Byte (TTFB)

Time To First Byte (TTFB)

TTFB คือระยะเวลาที่ใช้จากการส่งคำขอ (Request) จากเบราว์เซอร์ไปยังเซิร์ฟเวอร์จนกระทั่งได้รับการตอบกลับแรก (First Byte) จากเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความเร็วในการตอบสนองจากเซิร์ฟเวอร์ ค่า TTFB ที่สูงอาจบ่งบอกถึงปัญหาหรือความช้าของเซิร์ฟเวอร์ที่ทำให้เวลาในการโหลดเว็บไซต์ช้าลง การลดค่า TTFB สามารถช่วยให้การโหลดหน้าเว็บเร็วขึ้นและส่งผลต่อการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ รวมถึงการจัดอันดับใน SEO ด้วย

เกณฑ์มาตรฐานของ TTFB

  • ดีเยี่ยม: ค่า TTFB ไม่เกิน 800 ms (0.8 วินาที)
  • ควรปรับปรุง: ค่า TTFB ระหว่าง 800 – 1800 ms (0.8 – 1.8 วินาที)
  • ไม่ดี ปรับปรุงด่วน: ค่า TTFB มากกว่า  1800 ms (1.8 วินาที)

ปัจจัยที่ส่งผลให้ TTFB ช้า

  • เซิร์ฟเวอร์ช้า เซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพต่ำหรือใช้เวลานานในการประมวลผลคำขอ
  • การตั้งค่า DNS ช้า ถ้าการตั้งค่า DNS มีความล่าช้าจะทำให้เกิดการดีเลย์ในการส่งคำขอไปยังเซิร์ฟเวอร์
  • การเชื่อมต่อเครือข่ายที่ไม่เสถียร การเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ดีจะทำให้เกิดการหน่วง
  • การประมวลผลที่หนัก ระบบที่มีการประมวลผลซับซ้อนหรือคำขอที่ต้องการการคำนวณมากเกินไปอาจทำให้เกิดการหน่วงเวลา

วิธีแก้ไขการทำให้ TTFB เร็วขึ้น

  • ปรับปรุงประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์ ใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถรองรับการประมวลผลที่รวดเร็ว
  • ใช้ CDN (Content Delivery Network) การใช้ CDN ช่วยให้ข้อมูลจากเว็บไซต์ถูกส่งผ่านเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุดกับผู้ใช้ ลดระยะเวลาในการเชื่อมต่อ
  • ใช้การแคช การใช้ระบบแคชสามารถลดการโหลดข้อมูลซ้ำ ๆ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการข้อมูล
  • ใช้ DNS ที่เร็ว ใช้บริการ DNS ที่มีการตอบสนองเร็ว เพื่อให้การเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ทำได้รวดเร็วขึ้น
หากคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว และอยากรู้ วิธีเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ เพื่อเพิ่มการติดอันดับใน Google ก็สามารถคลิกที่ลิงก์นี้เพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย!

บทสรุป

Core Web Vitals คืออะไร? Core Web Vitals คือ ชุดตัวชี้วัดที่ Google ใช้ในการประเมินประสบการณ์ผู้ใช้บนเว็บไซต์ โดย เน้นการวัดความเร็วในการโหลดเนื้อหาหลัก, การตอบสนองของเว็บไซต์ และความเสถียรของเนื้อหาที่โหลด ตัวชี้วัดหลักที่สำคัญได้แก่ Largest Contentful Paint (LCP), Interaction to Next Paint (INP), Cumulative Layout Shift (CLS), First Contentful Paint (FCP) และ Time To First Byte (TTFB) ซึ่งทุกตัวชี้วัดเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ใน Google หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณเติบโตและติดอันดับสูงใน Google Wizdom บริษัทรับทำ SEO พร้อมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ SEO และปรับปรุง Core Web Vitals เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณพร้อมแข่งขันและดึงดูดผู้เข้าชม ติดต่อเราเพื่อเริ่มต้นพัฒนาเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ!

ปรึกษา Wizdom

สอบถามเพิ่มเติม : hello@wizdom.co.th
โทรติดต่อ : 062-353-5197
ปรึกษา Wizdom

Similar Posts