หลักการจูงใจจาก หนังสือ “กลยุทธ์ โน้มน้าวและจูงใจคน” (Influence: The Psychology of Persuasion) ของ Robert B. Cialdini เล่มนี้นะ เป็นเหมือน คู่มือเด็ด สำหรับคนที่อยากเรียนรู้วิธีการจูงใจ และ โน้มน้าว คนอื่นให้อยากทำตามสิ่งที่เราต้องการ โดยไม่ต้องใช้แรงมาก! มาดู 6 หลักการที่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวันหรือในการทำธุรกิจ วันนี้ Wizdom ได้สรุปเนื้อหาเพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ มาให้เเล้วค่ะ
6 หลักการจูงใจที่ทำให้คุณโน้มน้าวคนได้ง่ายขึ้น
หลักการจูงใจ เหล่านี้สามารถใช้เพื่อจูงใจ หรือ โน้มน้าว ผู้อื่นให้ทำสิ่งที่เราต้องการ โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงหรือการบังคับ การทำความเข้าใจและใช้หลักการเหล่านี้จะทำให้คุณสามารถสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นได้ดีขึ้น
1. การแลกเปลี่ยน (Reciprocity)
หลักการของ การแลกเปลี่ยน หรือ Reciprocity ก็คือ เมื่อคุณให้บางสิ่งกับใคร เขาจะรู้สึกอยากตอบแทนในบางรูปแบบ อาจจะเป็นของขวัญหรือความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้เขารู้สึกผูกพันและอยากทำสิ่งดี ๆ กลับให้เราในอนาคตแบบไม่รู้ตัวเลย!
มันเหมือนกับว่า “ให้ไปก่อน แล้วจะได้คืน!” ตัวอย่างเช่น ถ้าเราให้ลูกค้าลอง สินค้า หรือ บริการฟรี ในช่วงแรก ๆ ลูกค้าก็จะรู้สึกว่า “เฮ้ย! เค้าให้เราแล้ว ต้องตอบแทนกลับ” เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องตัดสินใจซื้อเลือก เขาก็จะเลือกเราแบบไม่ลังเลเลย!
ถ้าอยากให้ความสัมพันธ์ดี หรือ ธุรกิจเติบโต การใช้การแลกเปลี่ยน นี้จะช่วยทำให้คนรอบข้างรู้สึกอยากช่วยเรา หรือ กลับมาหาเราในที่สุด!
2. ความมุ่งมั่นและความสอดคล้อง (Commitment and Consistency)
หลักการนี้ง่ายมาก! คือเมื่อคนตัดสินใจทำอะไรไปแล้ว พวกเขามักจะรู้สึกว่า ต้องทำตามที่ตัดสินใจไว้ ไม่อยากให้มันดูไม่สอดคล้อง กับสิ่งที่พูดไปแล้ว อย่างถ้าเราได้เริ่มต้นทำอะไรเล็ก ๆ เช่น สมัครเป็นสมาชิก หรือ ลงทะเบียน กับอะไรสักอย่าง พอทำไปแล้วก็จะรู้สึกว่า ต้องทำให้มันสำเร็จ ตามที่เคยตัดสินใจไว้!
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราให้ลูกค้าลองใช้สินค้า หรือ บริการฟรี ในตอนแรก หลังจากนั้นลูกค้าจะรู้สึกว่า ต้องซื้อของเราต่อ เพื่อให้มันสอดคล้องกับการที่เคยเลือกไปแล้ว การทำแบบนี้ก็เหมือนการทำให้พวกเขารู้สึกว่า “โอเค ฉันตัดสินใจไปแล้ว ฉันต้องทำต่อให้เสร็จ”
ถ้าคุณเข้าใจหลักการนี้ จะทำให้คุณสามารถโน้มน้าวหรือจูงใจคนให้ทำตามสิ่งที่คุณอยากให้เขาทำได้ง่ายขึ้น!
3. การยืนยัน (Social Proof)
หลักการของ การยืนยัน หรือ Social Proof คือการที่เรามักจะทำตามสิ่งที่คนอื่นทำ เพราะเห็นว่าเขาทำแล้ว ดี หรือ ประสบความสำเร็จ เช่น ถ้าเห็นเพื่อนใช้สินค้าแล้วบอกว่า ดีมาก หรือ บริการเจ๋งสุด ๆ เราก็จะอยากลองบ้าง เพราะเราคิดว่า “ถ้าเขาทำแล้วเวิร์ค เราก็ต้องลองดูบ้าง!”
มันก็เหมือนเวลาเห็นร้านอาหารที่ มีคนเข้าคิวเยอะ หรือ มีรีวิวเยอะ ๆ เราก็จะอยากไปลองเอง เพราะรู้สึกว่า “ถ้าคนอื่นชอบจริง ๆ มันต้องอร่อยแน่!”
การใช้ Social Proof แบบนี้ในธุรกิจหรือการขายของ ก็เหมือนการทำให้คนอื่นเห็นว่า “ทุกคนชอบ ทำไมคุณจะไม่ชอบล่ะ?” ซึ่งมันทำให้การตัดสินใจง่ายขึ้นสุด ๆ!
4. การชอบ (Liking)
หลักการ การชอบ หรือ Liking ก็คือคนมักจะทำตามหรือเชื่อคนที่เราชอบ หรือคนที่ มีอะไรเหมือนกันกับเรา หรือคนที่ทำให้เรารู้สึกดี นั่นเอง! เช่น ถ้าเพื่อนสนิทหรือคนที่เราชอบแนะนำอะไรดี ๆ เราก็มักจะยอมทำตามทันที เพราะเรารู้สึกว่า “อ๋อ! ถ้าเพื่อนเราบอกว่าดี เราก็เชื่อเลย!”
มันเหมือนเวลาเราเห็นใครที่ เราเข้าใจ หรือ คล้ายกับเรา มาแนะนำสินค้าหรือบริการ เราก็มักจะคิดว่า “ถ้าเขาชอบ ฉันก็คงชอบเหมือนกัน” เพราะเรารู้สึกว่าเขา เข้าใจเรา และรสนิยมเหมือนกันเลยกล้าที่จะเชื่อ และ ทำตาม!
ถ้าคุณสามารถสร้างความสัมพันธ์ดี ๆ หรือทำให้คนรู้สึกว่า “เราเข้าใจ” และทำให้เขารู้สึกดี จะทำให้การโน้มน้าวหรือจูงใจเขาได้ง่าย ๆ เพราะคนที่เราชอบหรือไว้ใจ เขาจะทำตามเราแน่นอน!
5. การขาดแคลน (Scarcity)
การขาดแคลน หรือ Scarcity นี่แหละที่ทำให้เรา อยากได้ของที่มีไม่เยอะ หรือ จำกัด มากขึ้น! ถ้าบางสิ่งดูเหมือนจะหมดไป หรือ เหลือแค่ไม่กี่ชิ้น เราจะรู้สึกว่า “ต้องรีบเอาแล้ว!” เพราะกลัวว่า เดี๋ยวจะไม่ได้
ลองนึกภาพเวลาเห็นป้าย “สินค้าหมดแล้ว!” หรือ “เหลือแค่ 2 ชิ้นเท่านั้น!” มันทำให้เรารู้สึกเหมือน “อ๊ะ! ถ้าฉันไม่ซื้อเดี๋ยวนี้ ฉันจะพลาดแน่!” นั่นคือ แรงจูงใจ ที่เกิดจากการขาดแคลน!
ใช้หลักการนี้ในธุรกิจหรือการขายคือการทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือน “ต้องรีบซื้อเดี๋ยวนี้” เพราะของดี ๆ ที่มีจำกัดจะทำให้เรา ตัดสินใจซื้อ ได้ไวขึ้นสุด ๆ!
6. อำนาจ (Authority)
หลักการ อำนาจ หรือ Authority ที่ทำให้คนเชื่อ และ ทำตามคำแนะนำจากคนที่ มีความเชี่ยวชาญ ในสาขานั้น ๆ เช่น ถ้าหมอแนะนำยาให้เรา หรือ ที่ปรึกษาการเงิน บอกให้เราลงทุนในสินค้านี้ เราก็จะ เชื่อ แบบไม่ต้องคิดมาก เพราะเรารู้ว่าเขาคือ คนที่มีความรู้ในเรื่องนี้!
มันเหมือนกับเวลาคุณอยากจะซื้ออะไรที่ไม่คุ้นเคย แต่เห็นว่ามี ผู้เชี่ยวชาญ มาบอกว่า “อันนี้ดีจริง!” เราก็จะยอมทำตามเขาเพราะเรารู้สึกว่าเขาคือ คนที่รู้ดีที่สุด นั่นเอง!
ในธุรกิจ ถ้าเรามี ผู้ที่มีอำนาจ หรือ ผู้เชี่ยวชาญ มาช่วยแนะนำ หรือพูดถึงสินค้าของเรา ก็จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “โอ้! ถ้าเขาบอกดี มันต้องดีจริง!”
หลังจากที่ได้รู้จักหลักการการจูงใจคนแล้ว ถ้าคุณอยากรู้ต่อว่า
10 กฎในการบริหารคนเก่ง จะช่วยให้คุณบริหารทีมได้ดียังไง คลิกลิงก์เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยค่ะ รับรองมี เคล็ดลับเด็ด ๆ แน่นอน!
บทสรุป
หนังสือ
“กลยุทธ์โน้มน้าวและจูงใจคน” ได้เปิดเผย หลักการจูงใจ ที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อช่วยให้การสื่อสารของเรามี ประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง
การตลาด, การขาย หรือ การสร้างความสัมพันธ์ ในชีวิตส่วนตัว ถ้า
เราเข้าใจหลักการเหล่านี้และนำไปใช้ เราจะสามารถโน้มน้าว คนรอบข้างได้แบบเนียน ๆ และได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นแน่นอน! ตอนนี้ถ้าคุณอยากให้ ธุรกิจของคุณเติบโต และอยากสร้างอิทธิพลให้กับคนรอบข้าง ก็ลองเอาหลักการการจูงใจที่เราได้รวบรวมมาให้ไปใช้ดูสิ รับรองว่า ผลลัพธ์ดีแน่นอน! เเละถ้าหากว่าคุณต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำธุรกิจหรือการทำเว็บไซต์
ติอต่อ Wizdom ได้เลยค่ะ เราพร้อมให้คำเเนะนำ
ปรึกษา Wizdom
สอบถามเพิ่มเติม : hello@wizdom.co.th
โทรติดต่อ : 062-353-5197
Post Views: 324