10 วิธีทำ SEO เว็บไซต์ติดอันดับ Google แบบ Step by Step

10 วิธีทำ SEO เว็บไซต์ติดอันดับ Google แบบ Step by Step
วิธีทำ SEO ที่ถูกต้องคือกุญแจสำคัญในการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google และช่วยขยายธุรกิจในระยะยาว โดยครอบคลุมตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย, ปรับ On-Page SEO, สร้าง Backlink คุณภาพ ไปจนถึงการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง วันนี้ Wizdom ได้รวบรวม 10 เทคนิคดี ๆ ที่ไม่ควรพลาดมาให้แล้ว!

ทำความรู้จัก SEO กัน?

SEO (Search Engine Optimization) คือการปรับเว็บไซต์ให้ถูกใจ Google เพื่อให้ติดอันดับค้นหาได้ง่ายขึ้น ครอบคลุมทั้งการปรับเนื้อหา, การสร้าง Backlinks, ปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์ เพื่อให้ใช้งานได้ดีบนทุกอุปกรณ์ ทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกมองเห็นง่าย ดึงดูดคนเข้าเยี่ยมชมได้มากขึ้น และยังเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจได้อีกด้วย!

10 วิธีทำ SEO เว็บไซต์ติดอันดับ Google ในปี 2025

อยากให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก Google ในปี 2025 ต้องรู้ 10 เทคนิคการทำ SEO เหล่านี้!
1.ตั้งเป้าหมายในการทำ SEO สำหรับเว็บไซต์

1. ตั้งเป้าหมายในการทำ SEO สำหรับเว็บไซต์

ถ้าคุณอยากทำ SEO ให้ได้ผล สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มจาก การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ว่าจะต้องการเพิ่มยอดเข้าชมเว็บไซต์, ยอดขาย หรือสร้างการรับรู้แบรนด์ เป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยกำหนดทิศทาง วางกลยุทธ์ได้ตรงจุด และทำให้ติดตามผลลัพธ์ได้ง่ายขึ้น ช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพและเห็นผลจริง!
  • กำหนด KPI ที่วัดผลได้ เช่น จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Traffic), อัตราการคลิก (Click-Through Rate – CTR), อัตราการแปลง (Conversion Rate) หรือ ยอดขาย จากช่องทางออนไลน์
  • ประเมินผลลัพธ์ ใช้เครื่องมืออย่าง Google Analytics หรือ Google Search Console เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของการทำ SEO และดูว่าคุณบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่
  • ปรับปรุงกลยุทธ์ หากพบว่าเว็บไซต์ของคุณยังไม่บรรลุ KPI ที่กำหนดไว้ คุณสามารถปรับปรุงแผนงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้
การตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนจะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของความสำเร็จ และวางแผนกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาเว็บไซต์ของคุณให้ติดอันดับสูงบน Google ได้อย่างยั่งยืน
2.วิเคราะห์และเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด

2. วิเคราะห์และเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด

การวิเคราะห์เว็บไซต์คู่แข่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณเข้าใจตลาดและมองเห็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจ การรู้จุดแข็ง-จุดอ่อนของคู่แข่งจะช่วยปรับกลยุทธ์ SEO ให้ดีขึ้น พร้อมค้นหาช่องว่างเพื่อสร้างความได้เปรียบ สิ่งที่ควรนำมาวิเคราะห์มีดังนี้

ภาพรวมเว็บไซต์

  • การโหลดเร็ว เว็บไซต์ที่โหลดเร็วช่วยเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้และส่งผลดีต่อ SEO เพราะ Google ให้คะแนนสูงกับเว็บไซต์ที่มีความเร็วในการโหลดที่ดี
  • โครงสร้างเว็บไซต์ การจัดระเบียบเมนูให้ชัดเจนและใช้งานง่าย ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลได้เร็วขึ้นและ Google เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
  • การรองรับการใช้งานบนมือถือ เว็บไซต์ที่สามารถแสดงผลได้ดีบนมือถือจะได้รับการพิจารณาที่ดีจาก Google โดยเฉพาะเมื่อมือถือกลายเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงข้อมูล

On-Page SEO

  • เนื้อหา ควรครอบคลุมและตอบโจทย์ผู้ใช้ การใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมและมีคุณภาพในเนื้อหาจะช่วยเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์
  • URL ควรเลือกใช้ URL ที่สั้น กระชับ และมีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
  • Meta Title & Meta Description การเขียน Meta Title และ Meta Description ที่มีคีย์เวิร์ดและดึงดูดให้ผู้ใช้คลิกเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่ม CTR
  • Keyword การใช้คีย์เวิร์ดหลักในที่ต่าง ๆ เช่น หัวข้อ, คำอธิบาย และเนื้อหา
  • Heading Tags การใช้ Heading Tags (H1, H2, H3) อย่างถูกต้องช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น

Keyword

  • คู่แข่งใช้คีย์เวิร์ดไหนเป็นหลัก คีย์เวิร์ดที่คู่แข่งใช้ควรจะมีความสัมพันธ์กับธุรกิจของคุณและต้องมีการค้นหาสูง
  • ประเภทคีย์เวิร์ดที่มุ่งเน้น คีย์เวิร์ดประเภทต่าง ๆ เช่น คีย์เวิร์ดหลัก, Long-tail keywords หรือคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับคำถามของผู้ใช้งาน

Backlink

  • จำนวน Backlink การมีจำนวน Backlink ที่สูงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์
  • คุณภาพของ Backlink ควรวิเคราะห์ว่า Backlink มาจากเว็บไซต์ที่มีอำนาจและเชื่อถือได้หรือไม่
  • แหล่งที่มาของ Backlink การได้รับ Backlink จากแหล่งที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมของคุณจะเพิ่มคุณค่าให้กับ Backlink มากขึ้น
3.ออกแบบเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน

3. ออกแบบเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน

การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีไม่เพียงช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย แต่ยังเพิ่มคะแนน SEO ทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์น่าเชื่อถือและคุ้มค่าต่อการจัดอันดับให้สูงขึ้น การออกแบบให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมีหลักสำคัญ ดังนี้
  • มีโครงสร้างที่ชัดเจน เว็บไซต์ที่มีโครงสร้างชัดเจนและเรียบง่ายช่วยให้ผู้ใช้หาข้อมูลได้สะดวก เมนูและลิงก์ควรจัดเรียงเป็นระเบียบและสอดคล้องกับเนื้อหา
  • ความเร็วในการโหลด เว็บไซต์ที่โหลดเร็วช่วยให้ผู้ใช้งานไม่รู้สึกหงุดหงิด และยังช่วยลดอัตราการตีกลับ (Bounce Rate) ซึ่งมีผลดีต่ออันดับของเว็บไซต์ใน Google
  • การจัดวางเมนูเป็นระเบียบ เมนูที่ชัดเจนและใช้งานง่ายจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเมนูหลัก, หมวดหมู่ หรือฟังก์ชันต่างๆ
  • ค้นหาสะดวก การมีฟังก์ชันค้นหาบนเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและสะดวก
  • เลือกสีและฟอนต์อ่านง่าย เลือกสีและฟอนต์ที่อ่านง่ายช่วยให้ผู้ใช้สบายตา อ่านเนื้อหาได้ไม่ติดขัด และช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดี
  • ข้อมูลติดต่อชัดเจน ให้ข้อมูลติดต่อ เช่น เบอร์โทรศัพท์, อีเมล หรือที่อยู่ชัดเจนบนเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถติดต่อได้ง่าย
  • แสดงผลทุกอุปกรณ์ เว็บไซต์ควรแสดงผลได้ดีในทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์, แท็บเล็ต หรือมือถือ เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกทุกที่ทุกเวลา
4.เพิ่มความปลอดภัยให้เว็บไซต์

4. เพิ่มความปลอดภัยให้เว็บไซต์

การรักษาความปลอดภัยเว็บไซต์ไม่เพียงปกป้องข้อมูลจากการโจมตี แต่ยังเสริมความน่าเชื่อถือ ช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจในการเข้าชม ส่งผลดีต่อทั้ง UX และอันดับ SEO แถมยังช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกแฮ็ก พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ของคุณได้ดีอีกด้วย

วิธีการเพิ่มความปลอดภัย

  • ติดตั้ง SSL Certificate เพื่อให้ข้อมูลระหว่างผู้ใช้งานและเว็บไซต์ถูกเข้ารหัส ช่วยให้เว็บไซต์แสดง “https://” ซึ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือ
  • ติดตั้ง Security Plugin ใช้ปลั๊กอินป้องกันภัยคุกคามต่าง ๆ และตรวจจับการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
  • ใช้ HTTPS การใช้ใบรับรอง SSL (Secure Socket Layer) เพื่อให้เว็บไซต์ปลอดภัยและเข้ารหัสข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับเว็บไซต์
  • สำรองข้อมูลเป็นประจำ ทำการสำรองข้อมูลเว็บไซต์ให้ปลอดภัย เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายจากการโจมตีหรือข้อผิดพลาด
  • อัปเดตซอฟต์แวร์ ติดตั้งการอัปเดตซอฟต์แวร์และปลั๊กอินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงช่องโหว่ที่อาจถูกโจมตี
  • ใช้ Two-Factor Authentication เพิ่มการป้องกันการเข้าถึงเว็บไซต์ด้วยรหัสยืนยันตัวตนสองขั้นตอน
5.ทำ Keyword Research ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม

5. ทำ Keyword Research ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม

การทำ Keyword Research อย่างละเอียดเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO เพราะ การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและเพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูงบน Google
เครื่องมือที่ช่วยในการทำ Keyword Research มีหลายตัวที่สามารถใช้ในการค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสำหรับเว็บไซต์ของคุณ ได้แก่
  • Ubersuggest  เครื่องมือที่ช่วยให้คุณค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีศักยภาพและวิเคราะห์การแข่งขัน รวมถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่ช่วยให้เลือกคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดสำหรับ SEO
  • KWfinder  เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและสามารถค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีการค้นหาสูงพร้อมระดับการแข่งขันที่เหมาะสม
  • Google Keyword Planner  เครื่องมือจาก Google ที่ช่วยให้คุณค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องและดูข้อมูลการค้นหาของผู้ใช้งาน
  • Ahrefs  เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่คู่แข่งใช้และแสดงผลข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ SEO อย่างละเอียด
  • SEMrush  เป็นเครื่องมือที่สามารถทำ Keyword Research, วิเคราะห์คีย์เวิร์ด, ตรวจสอบอันดับเว็บไซต์ และวิเคราะห์คู่แข่งได้อย่างละเอียด
  • การค้นหาบนหน้า Google  สามารถใช้การค้นหาบน Google โดยตรงเพื่อดูคำแนะนำที่แสดงขึ้นมาในส่วน “People also ask” หรือ “Related searches” ที่แสดงผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหา
6.เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน

6. เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน

การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ถือเป็นหัวใจของการทำ SEO ที่ยั่งยืน เพราะเนื้อหาที่มีคุณภาพไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่ม Authority ของเว็บไซต์ แต่ยังทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณ น่าเชื่อถือ และมีคุณค่าสำหรับผู้ใช้งาน

หลักการเขียนเนื้อหาที่ดี

  • เขียนเนื้อหาให้อ่านง่าย
    เนื้อหาควรมีการจัดระเบียบที่ชัดเจน มีการใช้หัวข้อย่อย Headings Tags  (H1, H2, H3) เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจเนื้อหาภายในเวลาอันรวดเร็ว ใช้ประโยคสั้น ๆ และแบ่งย่อยข้อมูลให้เข้าใจง่าย
  • เนื้อหาต้องตอบคำถาม (Search Intent)
    การเขียนเนื้อหาควรตั้งอยู่บนหลักการของ Search Intent หรือเจตนาของผู้ค้นหา (ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ค้นหาคำว่า “วิธีทำ SEO ให้ติดอันดับ Google” คุณต้องเขียนเนื้อหาที่อธิบายวิธีการที่มีประสิทธิภาพในขั้นตอนการทำ SEO)
  • ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย
    เขียนเนื้อหาด้วยภาษาที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ใช้คำที่คนทั่วไปเข้าใจได้ และหากมีคำศัพท์เฉพาะที่จำเป็นต้องใช้ ควรอธิบายให้ชัดเจน
  • อธิบายอย่างละเอียด
    เนื้อหาควรมีรายละเอียดที่ครบถ้วน โดยไม่ข้ามขั้นตอนสำคัญ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งและครบถ้วน
  • อ้างอิงข้อมูลที่เป็นจริงและมีความน่าเชื่อถือ
    เขียนบทความโดยใช้ข้อมูลที่เป็นจริงจากแหล่งที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะถ้าข้อมูลนั้นได้รับการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญในวงการ
  • ปรับตามหลัก E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness)
    เขียนเนื้อหาที่สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญ (Expertise) และความน่าเชื่อถือ (Authoritativeness) โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ รวมทั้งเสริมด้วยประสบการณ์ที่มีคุณค่าจากผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ
  • การอัปเดตข้อมูลใหม่ ๆ
    เพื่อให้เนื้อหามีความทันสมัยและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดหรือเทคโนโลยี ควรอัปเดตข้อมูลใหม่ล่าสุดให้ตรงกับการค้นหาปัจจุบัน
7.ปรับแต่ง SEO บนหน้าเว็บไซต์ (On-Page SEO)

7. ปรับแต่ง SEO บนหน้าเว็บไซต์ (On-Page SEO)

การทำ On-Page SEO เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้ เว็บไซต์ของคุณสามารถติดอันดับสูงขึ้น บน Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์จะช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาและความเกี่ยวข้องของเว็บไซต์กับคำค้นหาได้ดียิ่งขึ้น

วิธีปรับแต่ง On-Page SEO ให้มีประสิทธิภาพ

  • ตั้งชื่อ URL ที่เหมาะสม ใช้คีย์เวิร์ดใน URL ให้สั้นและกระชับ เพื่อให้ Google เข้าใจเนื้อหาของหน้าได้ชัดเจน
  • ใช้ Internal Link เชื่อมโยงภายในเว็บไซต์เพื่อช่วยเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลและทำให้ Google เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์
  • ใช้ External Link การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีความเกี่ยวข้อง จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
  • ใช้รูปภาพและ Alt Text ใส่ Alt Text ที่เกี่ยวข้องกับภาพเพื่อให้ Google เข้าใจว่าเนื้อหาของภาพเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์อย่างไร
  • เขียน Meta Title และ Meta Description ที่น่าสนใจ รวมคีย์เวิร์ดและคำที่ดึงดูดผู้ใช้เพื่อเพิ่มคลิกผ่านจากผลการค้นหา
  • ใช้ Schema Markup เพิ่ม Schema Markup เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจข้อมูลในหน้าเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น
  • กำหนด Heading Tags (H1, H2, H3) ใช้ Heading Tags อย่างเหมาะสมเพื่อให้ Google เข้าใจโครงสร้างและเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
  • ใส่ Call to Action (CTA) ใช้ปุ่มหรือข้อความเชิญชวน เช่น “สมัครเลย” หรือ “อ่านเพิ่มเติม” เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้ดำเนินการ
8.สร้าง Backlink จากแหล่งที่เชื่อถือได้

8. สร้าง Backlink จากแหล่งที่เชื่อถือได้

การสร้าง Backlink จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือเป็นหนึ่งใน ปัจจัยสำคัญ ที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ Backlinks ที่มีคุณภาพสูงจะช่วยเพิ่ม Domain Authority และทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาส ติดอันดับสูงขึ้น บนผลการค้นหา

แนะนำให้เลือกเว็บไซต์ที่มีคุณสมบัติเป็นดังนี้

  • มีชื่อเสียงและได้รับความนิยม
    เลือกเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในวงการ ช่วยให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับธุรกิจมากขึ้น
  • มี Traffic สูง
    เว็บไซต์ที่มีจำนวนผู้เข้าชมมากจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับ Backlink เพราะจะทำให้ Backlink ของคุณสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ได้มากขึ้น
  • มีคะแนนเว็บไซต์ดี (Domain Authority)
    ควรเลือกเว็บไซต์ที่มีคะแนน DA (Domain Authority) สูง ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ และจะช่วยยกระดับคะแนน SEO ของเว็บไซต์คุณได้
  • เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
    เลือกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับธุรกิจของคุณ ช่วยให้ Backlink สอดคล้องกับคำค้นหา และทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น
  • กระจาย Backlinks 
    การสร้าง Backlink จากหลายเว็บไซต์ที่มีคุณภาพจะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับลิงก์ของคุณ และลดความเสี่ยงในการพึ่งพาเว็บไซต์เดียวมากเกินไป
9.เพิ่ม Website Traffic จาก Social Media

9.  เพิ่ม Website Traffic จาก Social Media

การใช้ Social Media เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการ เพิ่ม Traffic และสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ให้กับเว็บไซต์ของคุณ โดยการนำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจผ่านช่องทาง Social Media สามารถช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่สนใจและเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
  • เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม ใช้ช่องทางที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น Facebook, Instagram, LinkedIn หรือ Twitter เพื่อเข้าถึงผู้ใช้ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ
  • สร้างเนื้อหาน่าสนใจ ผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณค่าและตอบโจทย์ผู้ใช้งาน เช่น บทความ, วิดีโอ หรือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการ ซึ่งจะดึงดูดผู้ใช้และกระตุ้นให้พวกเขาแชร์เนื้อหาของคุณ
  • ใช้ Hashtags ที่เกี่ยวข้อง ใช้ Hashtags ที่ได้รับความนิยมเพื่อเพิ่มการมองเห็นโพสต์ของคุณในแวดวงที่คุณกำหนด
  • โพสต์อย่างสม่ำเสมอ การโพสต์เนื้อหาบ่อย ๆ ช่วยให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จัก และทำให้ผู้ติดตามมีความผูกพันกับแบรนด์มากขึ้น
  • การใช้โฆษณาบน Social Media ใช้โฆษณาที่มีค่าใช้จ่ายเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงและเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์จากผู้ที่สนใจในสิ่งที่คุณนำเสนอ
10.ติดตามผลและวิเคราะห์ผลลัพธ์

10. ติดตามผลและวิเคราะห์ผลลัพธ์

การติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์ ของการทำ SEO เป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุง กลยุทธ์ SEO ของคุณอย่างต่อเนื่อง การเข้าใจข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์จะช่วยให้คุณ ปรับแต่งเว็บไซต์ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและเพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูงบน Google
  • ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ ใช้เครื่องมือยอดนิยม เช่น Google Analytics, Google Search Console และ Ahrefs เพื่อติดตามข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ การจัดอันดับคีย์เวิร์ด และปริมาณ Traffic ที่มาจากแหล่งต่าง ๆ เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและวัดผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ
  • วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ใช้ วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ เช่น หน้าเข้าชมสูงสุด, Bounce Rate และเวลาใช้งานเฉลี่ย จะช่วยให้เข้าใจความต้องการผู้ใช้และปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ได้มากขึ้น
  • ตรวจสอบอันดับคีย์เวิร์ด ตรวจสอบอันดับ คีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรอง รวมทั้งเปรียบเทียบกับคู่แข่ง เพื่อดูว่า SEO ของคุณพัฒนาไปถูกทางหรือไม่ และหาจุดที่ควรปรับปรุงให้อันดับดีขึ้น
  • ปรับกลยุทธ์ตามผลลัพธ์ เมื่อคุณได้รับข้อมูลจากการวิเคราะห์แล้ว ให้ใช้ข้อมูลเหล่านั้นในการปรับปรุงกลยุทธ์ SEO ของคุณ เช่น การปรับเนื้อหาบางส่วน, การเพิ่ม Backlinks หรือการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ เพื่อให้เหมาะสมกับแนวโน้ม SEO และช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

บทสรุป

วิธีทำ SEO ตาม 10 ขั้นตอนนี้ ช่วยเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ในผลการค้นหา ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมาย, ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม, ปรับ On-Page SEO, สร้าง Backlink คุณภาพ, การวิเคราะห์ตลาด, การใช้ Social Media และการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการทำ SEO จะไม่เห็นผลทันที แต่ถ้าทำสม่ำเสมอจะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงบน Google และขยายธุรกิจได้ระยะยาว Wizdom บริษัทรับทำ SEO เราพร้อมให้คำปรึกษาและวางกลยุทธ์ที่เหมาะสม ติดต่อเราได้เลย!

ปรึกษา Wizdom

สอบถามเพิ่มเติม : hello@wizdom.co.th
โทรติดต่อ : 062-353-5197
ปรึกษา Wizdom

Similar Posts