ภาพรีวิวแบบไหน “ใช้ได้” และ “ห้ามใช้!”

ภาพรีวิวแบบไหน? ใช้ได้ และห้ามใช้!
การตลาดคลินิกความงามในยุคนี้ ภาพรีวิวถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม แต่คุณรู้หรือไม่ว่าไม่ใช่ทุกภาพที่จะสามารถนำมาใช้โปรโมตได้? การใช้ภาพรีวิวคลินิก อย่างไม่ระมัดระวังอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายที่คาดไม่ถึง
วันนี้ Wizdom จะมาไขข้อข้องใจให้ชัดเจนว่าภาพแบบไหนที่สามารถใช้ได้ และแบบไหนที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เพื่อให้คุณทำการตลาดได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
ทำไมภาพรีวิวถึงสำคัญกับการตลาดคลินิก?

ทำไมภาพรีวิวถึงสำคัญกับการตลาดคลินิก?

ภาพรีวิวคลินิกไม่ได้เป็นแค่รูปสวย ๆ แต่มีความสำคัญต่อธุรกิจคลินิกในหลายด้าน ทั้งในแง่ความน่าเชื่อถือและข้อกฎหมาย ดังนี้
  1. ด้านความน่าเชื่อถือ
    ในธุรกิจความงาม ความเชื่อใจคือหัวใจสำคัญที่สุดเลยค่ะ ลูกค้าไม่ได้เชื่อแค่คำโฆษณาแต่เขาอยากเห็น “หลักฐาน” ที่พิสูจน์ได้จริง ภาพรีวิวจึงกลายเป็นตัวช่วยสำคัญมาก ๆ เพราะมันคือการโชว์ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงกับลูกค้าจริง
เมื่อลูกค้าเห็นรีวิวเคสของคนที่มีปัญหาคล้าย ๆ กันกับตัวเอง แล้วเห็นว่าหลังจากทำไปแล้วผลลัพธ์ออกมาดูดีขึ้น มันจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าปัญหาแบบเราก็แก้ได้ จากที่เคยลังเลหรือไม่แน่ใจ ก็จะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกมั่นใจและกล้าที่จะตัดสินใจเลือกใช้บริการกับคลินิกเรามากขึ้นนั่นเอง
  1. ด้านกฎหมาย
    เรื่องกฎหมายก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญมาก การจะเอารูปของลูกค้ามาใช้ ต้องขออนุญาตและให้เขาเซ็นเอกสารยินยอมก่อนเสมอ การทำแบบนี้ไม่ใช่แค่ช่วยป้องกันปัญหาโดนฟ้องทีหลังเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าคลินิกเราเป็นมืออาชีพและให้เกียรติลูกค้าด้วย เพราะตามกฎหมาย PDPA แล้ว ใบหน้าและข้อมูลการรักษาของลูกค้าถือเป็นข้อมูลส่วนตัวมากๆ การเอาไปใช้โดยไม่ขออนุญาตก่อนถือว่าผิดกฎหมายเต็ม ๆ
ภาพรีวิวคลินิกแบบไหนที่ "ใช้ได้"

ภาพรีวิวคลินิกแบบไหนที่ “ใช้ได้”

เพื่อให้การทำการตลาดเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัย มาดูกันเลยว่าภาพแบบไหนที่เราสามารถนำมาใช้โปรโมตคลินิกได้บ้าง

Before / After ไม่เกินจริง

ภาพเปรียบเทียบก่อน-หลังทำ เป็นรูปแบบรีวิวที่ดีที่สุด แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ภาพถ่ายควรมาจากมุมเดียวกัน, แสงเดียวกัน และไม่มีการปรับแต่งภาพที่บิดเบือนผลลัพธ์ เช่น บีบหน้าหรือรีทัชผิวจนเนียนเกินจริงไป ที่สำคัญคือต้องระบุข้อความกำกับเสมอว่า “ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล” เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด

ภาพจากลูกค้าจริงที่ได้รับอนุญาติแล้ว

จะเอารูปสวย ๆ ของลูกค้ามาใช้ ต้องขออนุญาตและให้ลูกค้าเซ็นเอกสารยินยอมก่อนเสมอ ในเอกสารต้องบอกให้ชัดว่าจะเอารูปไปใช้ที่ไหนบ้าง การทำแบบนี้จะช่วยป้องกันปัญหาฟ้องร้องกันทีหลัง และยังถือว่าเป็นการให้เกียรติลูกค้าของเราอีกด้วย

ภาพทีมแพทย์ระบุชื่อ-ตำแหน่ง เลขใบอนุญาต

การใช้รูปคุณหมอหรือทีมผู้เชี่ยวชาญมาช่วยโปรโมตเป็นวิธีที่ดีมากในการสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ต้องใส่ชื่อ-นามสกุลจริง และตำแหน่งของคุณหมอให้ถูกต้องและชัดเจน ยกตัวอย่าง “นพ. รักดี มีเมตตา (เลขใบอนุญาต ว.XXXXXX)” เพื่อให้ข้อมูลที่แสดงถึงความโปร่งใส ลูกค้าจะได้มั่นใจในคลินิกของเรามากขึ้น
ภาพรีวิวคลินิกแบบไหนที่ "ห้ามใช้"

ภาพรีวิวคลินิกแบบไหนที่ “ห้ามใช้”

ทีนี้มาถึงฝั่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ การใช้ภาพเหล่านี้อาจทำให้คลินิกดูไม่น่าเชื่อถือและเสี่ยงต่อปัญหาทางกฎหมายได้

ภาพจาก Google / Pinterest / เว็บไซต์อื่น

การไปเซฟรูปรีวิวสวย ๆ จาก Google, Pinterest หรือจากคลินิกอื่นมาใช้ แล้วทำเป็นผลงานของคลินิกเราเอง มันผิดกฎหมายทั้งเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ของเจ้าของภาพ และยังเข้าข่ายหลอกลวงลูกค้าด้วย เราอาจโดนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายก้อนโตได้ง่าย ๆ และที่สำคัญที่สุดคือ มันทำลายความน่าเชื่อถือของคลินิกเราในระยะยาวแบบที่กู้คืนมาได้ยากมากเลย

ภาพนางแบบ / นายแบบจากเว็บสต็อกโฟโต้ (Stock Photo)

การใช้ภาพนางแบบสวย ๆ จากเว็บแจกรูปฟรี เช่น Freepik สามารถทำได้ แต่ต้องระบุให้ชัดเจนทุกครั้งว่า “ภาพนี้ใช้เพื่อการโฆษณาเท่านั้น” เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าเป็นภาพรีวิวจริงจากลูกค้าของคลินิก การไม่ระบุข้อความดังกล่าวอาจเข้าข่ายการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนและสร้างความเข้าใจผิดได้

ภาพ Before / After ที่ดูหลอกตาเกินไป

ระวังให้ดีเลยกับการแต่งรูปที่เกินจริง เช่น การใช้แอปบีบโครงหน้า, การปรับแสงให้ดูสว่างเวอร์จนเห็นผลลัพธ์ต่างกันชัดเจน หรือการให้ลูกค้าแต่งหน้าจัดเต็มในรูป After ทั้งที่รูป Before หน้าสด แบบนี้ถือเป็นการโฆษณาเกินจริงที่ผิดกฎหมายและมันทำลายความเชื่อใจของลูกค้าต่อคลินิกเราได้

รูปคุณหมอที่ไม่ใส่ชื่อ

การใช้รูปบุคคลในชุดกาวน์โดยไม่มีการระบุชื่อ-นามสกุล หรือตำแหน่งที่ชัดเจน ถือเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่โปร่งใส และอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่าคลินิกใช้ “หมอปลอม” หรือนายแบบ/นางแบบมาสวมรอย ซึ่งผิดกฎหมายและทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้าอย่างร้ายแรง

รูปที่ดูโป๊หรือไม่ให้เกียรติลูกค้า

การให้เกียรติลูกค้าต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ภาพรีวิวต้องไม่เปิดเผยสัดส่วนที่ดูแล้วล่อแหลมหรือทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่ดี เราควรมีเทคนิคการถ่ายภาพที่ดี เช่น การจัดมุมกล้องให้เหมาะสม หรือใช้การเซ็นเซอร์ เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวและให้เกียรติลูกค้าของเรา การทำแบบนี้จะแสดงให้เห็นว่าคลินิกของเราใส่ใจและมีความเป็นมืออาชีพ
เทคนิคการทำภาพรีวิวแบบไม่เสี่ยง

เทคนิคการทำภาพรีวิวแบบไม่เสี่ยง

การสร้างภาพรีวิวที่ทั้งปลอดภัยและน่าเชื่อถือไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ใส่ใจในรายละเอียดและทำตามเทคนิคเหล่านี้
  • ทำเอกสารยินยอมให้ชัดเจน
    ก่อนจะเอารูปหรือข้อมูลของลูกค้าไปใช้ ต้องมีเอกสารให้เขาเซ็นยินยอมก่อนเสมอ นี่เป็นเรื่องสำคัญมากตามกฎหมาย PDPA ในเอกสารต้องบอกให้เคลียร์เลยว่าจะเอารูปไปใช้ที่ไหนบ้าง (Facebook, IG, TikTok, เว็บไซต์), ใช้นานเท่าไหร่ และเอาไปทำอะไรบ้าง (เช่น ใช้โฆษณา, เป็นเคสตัวอย่าง) การทำแบบนี้จะช่วยกันปัญหาโดนฟ้องทีหลังได้ดีที่สุด
  • คุมมาตรฐานการถ่ายรูป
    สำหรับรูป Before & After อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าต้องถ่ายให้เหมือนกันทั้งแสง, มุมกล้องและพื้นหลัง อาจจะจัดมุมถ่ายรูปในคลินิกไว้โดยเฉพาะเลยก็ได้ ใช้ขาตั้งกล้องแล้วมาร์กจุดที่ลูกค้าต้องยืนไว้เลยยิ่งดี เพื่อให้ภาพที่ออกมาเปรียบเทียบกันได้แบบแฟร์ ๆ มันจะทำให้รีวิวของเราดูโปรและน่าเชื่อถือ และช่วยทำให้ลูกค้าได้เห็นการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ ไม่ใช่เพราะมุมกล้องหรือแสงช่วย
  • เล่าเรื่องแทนการการันตี
    แทนที่จะพูดคำที่เสี่ยงอย่าง “ดีขึ้นแน่นอน” หรือ “หน้าเรียวทันที” ลองเปลี่ยนมาเป็นการเล่าเรื่องของเคสจะดีกว่า เช่น “เคสนี้กังวลเรื่อง… คุณหมอเลยวางแผนการรักษาด้วยวิธี… เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด” หรือจะเล่าว่า “หลังทำไปแล้ว คุณ… รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”  วิธีนี้ปลอดภัยกว่าในแง่กฎหมาย 
  • ใส่คำเตือนเสมอ
    ประโยคอย่าง “ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล” ควรมีติดไว้ในทุกโพสต์รีวิว เหมือนเป็นลายเซ็นประจำตัวไปเลย ประโยคนี้สำคัญมากเพราะมันช่วยจัดการความคาดหวังของลูกค้าไม่ให้สูงเกินไป และยังช่วยลดการเกิดปัญหาความเข้าใจผิดที่อาจตามมาได้ด้วย
  • หลีกเลี่ยงคำต้องห้ามในโฆษณา 
    อีกเรื่องที่สำคัญและเป็นกับดักที่คลินิกมักพลาดกันบ่อย คือการนำคำต้องห้ามคลินิก มาใช้ในโฆษณา เราต้องระวังและเลี่ยงคำเหล่านี้ในทุกคอนเทนต์ ทั้งในภาพและแคปชั่น เพราะอาจทำให้โฆษณาไม่ผ่านการอนุมัติหรือมีปัญหาทางกฎหมายตามมาได้
  1. คำที่การันตีผล 100%
    เช่น หายขาด, เห็นผลทันที, รับประกันผล, แน่นอน คำพวกนี้เป็นการให้คำมั่นสัญญาที่เกินจริง เพราะผลลัพธ์ทางการแพทย์ไม่สามารถรับประกันได้ 100% สำหรับทุกคน เนื่องจากขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการตอบสนองของแต่ละคน การใช้คำเหล่านี้จึงเป็นการสร้างความคาดหวังที่ผิด ๆ และอาจทำให้ลูกค้าเข้าใจผิดได้
  2. คำที่อวยว่าเป็นที่สุด
    เช่น ดีที่สุด, อันดับหนึ่ง, แห่งเดียวในไทย, เหนือกว่า คำที่อวยตัวเองว่าเป็น “ที่สุด” ในด้านต่าง ๆ มักจะไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้จริงในทางการแพทย์ และเข้าข่ายการอวดอ้างสรรพคุณที่เกินจริง ทำให้คลินิกดูไม่น่าเชื่อถือและอาจเป็นการโจมตีคู่แข่งทางอ้อมได้
  3. คำโปรโมชั่นแรง ๆ 
    เช่น ลด, แลก, แจก, แถม, ฟรี, ส่วนลดพิเศษ กฎหมายมองว่าการรักษาพยาบาลไม่ใช่สินค้าที่เอามาจัดโปรลดราคาได้เหมือนของทั่วไป การใช้คำเหล่านี้เป็นจุดขายหลักจะทำให้ดูเหมือนเป็นการค้ากำไรเกินควรและลดทอนคุณค่าของวิชาชีพแพทย์ เราสามารถนำเสนอเป็น “ราคาพิเศษ” หรือ “ราคาโปรแกรม” ได้ แต่ห้ามใช้คำว่า ลด, ฟรี, แถม เป็นคำพาดหัวหลักในการโฆษณา
  4. คำที่ให้ความหวังเกินจริง
    เช่น ปลอดภัย 100%, ไม่มีผลข้างเคียง หัตถการทางการแพทย์ทุกชนิดมีความเสี่ยงเสมอไม่มากก็น้อย การใช้คำว่าเหล่านี้ ถือเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนและอาจทำให้ลูกค้าละเลยถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งอันตรายมาก ๆ

สรุป

สรุปแล้ว การใช้ภาพรีวิวคลินิกให้ปังและปลอดภัย หัวใจสำคัญคือความจริงใจต้องใช้รูปจริงที่ได้รับอนุญาต, ไม่แต่งรูปเกินจริง และต้องเลี่ยงคำต้องห้ามต่าง ๆ ซึ่งการจะทำให้ถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมดก็มีรายละเอียดเยอะแยะไปหมด อาจเป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับคลินิกได้ Wizdom เราเชี่ยวชาญด้านรับทำ SEO โดยเฉพาะและมีบริการรับทำ SEO คลินิกความงามและรับทำการตลาดคลินิก ที่จะช่วยดูแลเรื่องการสร้างคอนเทนต์รีวิวที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณหมอและทีมงานได้มีเวลาไปดูแลลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ทักหาเราได้เลยวันนี้ ปรึกษาฟรี!

FAQ

ได้ค่ะ แต่ต้องเป็นเคสจริงไม่แต่งรูปเกินจริง และต้องใส่คำว่า “ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล” กำกับไว้เสมอ

สิ่งที่สำคัญกว่าเครดิตคือ ต้องระบุให้ชัดเจนว่า “ภาพนี้ใช้เพื่อการโฆษณาเท่านั้น” เพื่อไม่ให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นรีวิวจริง

เพราะเป็นข้อบังคับตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และยังเป็นการให้เกียรติลูกค้า เพื่อป้องกันการฟ้องร้องในอนาคต

Similar Posts