Impression คืออะไร? ทำความรู้จักตัวชี้วัดสำคัญในการตลาดออนไลน์

Impression คืออะไร ทำความรู้จักตัวชี้วัดสำคัญในการตลาดออนไลน์
Impression คืออะไร? หลายคนที่ทำการตลาดออนไลน์อาจเคยได้ยินคำนี้กันมาบ้าง Impression คือจำนวนครั้งที่คอนเทนต์หรือโฆษณาของคุณถูกแสดงต่อผู้ชม ไม่ว่าจะมีการคลิกหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยประเมินการมองเห็นและประสิทธิภาพของแคมเปญได้อย่างชัดเจน ถ้าอยากเข้าใจ Impression ให้ลึกขึ้น Wizdom สรุปทุกเรื่องที่คุณต้องรู้ไว้ในบทความนี้แล้ว!

Impression คืออะไร?

Impression คือจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดงต่อผู้ชม โดยไม่จำเป็นต้องมีการคลิก ทุกครั้งที่โฆษณาปรากฏบนหน้าจอผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นภาพ, วิดีโอ หรือข้อความ จะนับเป็น 1 Impression ตัวเลขนี้ช่วยสะท้อนถึง การเข้าถึง (Reach) และทำให้ผู้ลงโฆษณาเห็นขอบเขตการมองเห็นของแคมเปญได้ชัดเจนขึ้น
  • ถึงแม้ว่าผู้ใช้จะเห็นเนื้อหาเดิมซ้ำกันหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เนื้อหานั้นปรากฏบนหน้าจอ จะถูกนับเป็น Impression ใหม่ (เห็น 1 ครั้ง = 1 Impression)
  • เพียงแค่เนื้อหาหรือโฆษณาปรากฏบนหน้าจอของผู้ใช้งาน ก็จะถูกนับเป็น 1 Impression โดยไม่จำเป็นต้องมีการคลิกหรือการมีส่วนร่วมใด ๆ จากผู้ใช้
ความสำคัญของ Impression ในการตลาดออนไลน์

ความสำคัญของ Impression ในการตลาดออนไลน์

Impression ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลข แต่มีบทบาทสำคัญในการวัดประสิทธิภาพของการตลาดออนไลน์ มาดูกันว่าทำไมถึงสำคัญ!

1. การประเมินการมองเห็นของโฆษณา

  • Impression เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้คุณทราบว่าโฆษณาของคุณ ถูกแสดงผลบ่อยเเค่ไหน
  • เป็นข้อมูลพื้นฐานที่ช่วยวิเคราะห์ประสิทธิภาพแคมเปญ เพื่อตรวจสอบว่าคอนเทนต์หรือโฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตามที่คาดหวังหรือไม่

2. ช่วยในการวางแผนกลยุทธ์

เมื่อคุณทราบว่าโฆษณามี Impression สูงหรือต่ำ คุณสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม เช่น
  • เพิ่มงบประมาณสำหรับโฆษณาที่มีผลลัพธ์ดี
  • เลือกกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
  • ปรับปรุงเนื้อหาโฆษณาให้ดึงดูดใจและตรงกับความสนใจของผู้ชม

3. สร้าง Brand Awareness

  • แม้ว่าผู้ใช้งานจะไม่ได้คลิกโฆษณา แต่การมี Impression ที่สูง มีส่วนสำคัญในการทำให้แบรนด์ของคุณ เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
  • เป็นก้าวแรกในการสร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งช่วยให้แบรนด์เป็นที่จดจำในระยะยาว

4. การวัดผล ROI (Return on Investment)

Impression เป็นตัวชี้วัดพื้นฐานที่สามารถนำไปเชื่อมโยงกับตัวชี้วัดอื่น ๆ เช่น
  • CTR (Click-Through Rate) เพื่อประเมินว่าผู้ชมสนใจเนื้อหาโฆษณาหรือไม่
  • Conversion Rate เพื่อวัดว่ากลุ่มเป้าหมายดำเนินการตามเป้าหมายของคุณหรือไม่
การเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถ คำนวณผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ได้อย่างแม่นยำ และปรับปรุงกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Impression มีกี่ประเภท

Impression มีกี่ประเภท?

Impression สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ซึ่งมีความแตกต่างกันในแง่ของการวัดผลและการแสดงโฆษณา ดังนี้

1. Served Impression

เป็นจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกโหลดขึ้นบนหน้าเว็บไซต์หรือแอปฯ โดยจะนับทันทีที่โฆษณาปรากฏ ไม่ว่าผู้ใช้จะเห็นหรือไม่ ตัวชี้วัดนี้มักใช้ในการวางแผนและรายงานผลที่เน้นปริมาณการแสดงผลทั้งหมด

ตัวอย่าง

  • โฆษณาถูกโหลดขึ้นในส่วนที่อยู่ล่างสุดของหน้าเว็บ แม้ว่าผู้ใช้จะเลื่อนลงไปไม่ถึงโฆษณานั้นก็ตาม ก็จะนับเป็น 1 Served Impression

2. Viewable Impression

Viewable Impression คือจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดงและผู้ใช้งานมีโอกาสมองเห็นจริง ๆ โดยยึดตามมาตรฐานของ Media Rating Council (MRC) ซึ่งมีเงื่อนไข ดังนี้
  • โฆษณาแบบภาพนิ่ง ต้องปรากฏอย่างน้อย 50% ของพื้นที่โฆษณา บนหน้าจอ และแสดงผลอย่างน้อย 1 วินาที
  • โฆษณาแบบวิดีโอ ต้องปรากฏอย่างน้อย 50% ของพื้นที่โฆษณา บนหน้าจอ และแสดงผลอย่างน้อย 2 วินาที

ตัวอย่าง

  • หากโฆษณาแสดงผลในตำแหน่งบนสุดของหน้าเว็บ และผู้ใช้งานเลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว แต่โฆษณาปรากฏบนหน้าจอในระยะเวลาที่ตรงตามเกณฑ์ จะถูกนับเป็น 1 Viewable Impression

3. Verified Impression

เป็นตัวชี้วัดที่แม่นยำและน่าเชื่อถือ ใช้เครื่องมือเพื่อตรวจสอบว่าโฆษณาถูกแสดงในตำแหน่งที่เหมาะสม เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจริง และแสดงในเวลาที่กำหนดโดยไม่ถูกปิดกั้นหรือซ่อนด้วยป๊อปอัปหรือโฆษณาอื่น ๆ

ตัวอย่าง

  • ใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล เช่น Google Ads, Verification Tools หรือ Double Verify เพื่อยืนยันว่าโฆษณาได้เข้าถึงผู้ใช้งานในกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ เช่น ผู้ชมจากพื้นที่เฉพาะ หรือผู้ที่มีความสนใจในสินค้าของแบรนด์โดยตรง
ความสำคัญของการเลือกประเภท Impression

ความสำคัญของการเลือกประเภท Impression

การเข้าใจ ประเภทของ Impression เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจ เพราะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการวัดผลและปรับกลยุทธ์โฆษณาได้อย่างเหมาะสมและตรงกับเป้าหมายของแคมเปญ
  • หากเป้าหมายคือ การสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) การเน้นไปที่ Served Impression ซึ่งแสดงถึงจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดงผล จะช่วยให้คุณทราบถึงการกระจายของคอนเทนต์ในวงกว้าง
  • หากเป้าหมายคือ ผลลัพธ์ที่แม่นยำ และต้องการวัดผลการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ควรให้ความสำคัญกับ Viewable Impression และ Verified Impression ซึ่งสะท้อนถึงโฆษณาที่ถูกมองเห็นและตรวจสอบได้ว่าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม

ตัวอย่างการชี้วัดด้วย Impression

เพื่อให้คุณเข้าใจและเห็นภาพชัดเจน ในการวัดผลโฆษณา เราขอแนะนำ ตัวอย่างจากสองแพลตฟอร์มยอดนิยม ได้แก่ Facebook และ Google Search

ตัวอย่าง Impression บน Facebook

สมมติว่าโพสต์โฆษณาของคุณปรากฏบนฟีดของผู้ใช้งาน 500 คน โดยในจำนวนนี้มีบางคนที่เห็นโพสต์ของคุณ ซ้ำ 2 ครั้ง จำนวน Impression ทั้งหมดจะเท่ากับ 1,000 ครั้ง (500 คน x 2 ครั้ง)
  • การนับ Impression บน Facebook จะนับทุกครั้งที่โพสต์ของคุณถูกแสดงต่อผู้ใช้งาน
  • หากผู้ใช้ 1 คนเห็นโฆษณาเดียวกัน 5 ครั้ง ก็จะนับเป็น 5 Impression
  • ไม่ว่าผู้ใช้งานจะเห็นโพสต์นั้นเพียงครั้งเดียวหรือหลายครั้ง ทุกครั้งที่โพสต์ถูกแสดงจะถูกนับรวมใน Impression

ตัวอย่าง Impression บน Google Search

เมื่อผู้ใช้งานค้นหาคำว่า “รองเท้าวิ่ง” และโฆษณาของคุณปรากฏในหน้าผลการค้นหา (Search Engine Results Page – SERP) 100 ครั้ง แม้ว่าจะไม่มีใครคลิกที่โฆษณาเลย ตัวเลขนี้ก็ยังคงนับเป็น 100 Impressions
  • Impression จะถูกนับทุกครั้งที่โฆษณาของคุณปรากฏในหน้าผลการค้นหา ไม่ว่าจะเป็นในส่วนด้านบน (Top Ads) หรือด้านล่าง (Bottom Ads) ของหน้า
  • ไม่เกี่ยวข้องกับการคลิกหรือการมีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ แต่สะท้อนถึงความถี่ที่โฆษณาถูกแสดงต่อผู้ค้นหาคำหลักนั้น ๆ
  • หากมีผู้ค้นหา 50 คน แต่แต่ละคนค้นคำว่า “รองเท้าวิ่ง” ซ้ำ 2 ครั้งในช่วงเวลาที่โฆษณาของคุณยังปรากฏ ตัวเลข Impression จะเป็น 100 ครั้ง
การใช้ Impression ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ

การใช้ Impression ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ

การใช้ Impression ควรใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ เพื่อให้การวิเคราะห์แคมเปญเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

Click-Through Rate (CTR)

CTR (Click-Through Rate) คือ อัตราส่วนของการคลิกเมื่อเทียบกับจำนวนการแสดงผล (Impression) โดยตัวชี้วัดนี้ช่วยสะท้อนถึง ความสนใจของผู้ชม ที่มีต่อโฆษณาหรือคอนเทนต์ของคุณ
  • แม้ว่าคุณจะมี Impression และ CTR สูง แต่หาก Conversion Rate ต่ำ อาจหมายความว่าเนื้อหาหรือข้อเสนอของคุณไม่ตรงกับความคาดหวังของผู้ชม
  • การคำนวณ CTR (จำนวนคลิก ÷ จำนวน Impression) × 100

Conversion Rate

Conversion Rate คือการวัดว่าผู้ใช้งานได้ทำกิจกรรมที่คุณต้องการ (เช่น การซื้อสินค้า หรือการกรอกข้อมูล) หลังจากเห็นโฆษณาหรือเนื้อหาของคุณ
  • แม้ว่าคุณอาจมี Impression และ CTR ในระดับสูง แต่หาก Conversion Rate ต่ำ อาจบ่งบอกว่าเนื้อหาหรือข้อเสนอของคุณไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของผู้ชม
  • การคำนวณ Conversion Rate (จำนวนการแปลง ÷ จำนวนคลิก) × 100

Engagement Rate

การวัด Engagement เช่น การกด Like, การ Share หรือการ Comment ช่วยให้คุณเห็นว่า Impression ของคอนเทนต์หรือโฆษณามีผลต่อ การมีปฏิสัมพันธ์ของผู้ชม มากน้อยเพียงใด
  • Engagement Rate ที่สูงแสดงถึงการเชื่อมต่อที่ดีระหว่างคอนเทนต์กับผู้ชม
  • การคำนวณ Engagement Rate (จำนวนการมีส่วนร่วม ÷ จำนวนการแสดงผลหรือ Reach) × 100
การปรับปรุง Impression ให้มีคุณภาพ

การปรับปรุง Impression ให้มีคุณภาพ

แม้ว่า Impression จะเป็นตัวเลขที่สำคัญ แต่คุณภาพของ Impression ก็สำคัญไม่แพ้กัน ต่อไปนี้คือเคล็ดลับในการเพิ่มคุณภาพของ Impression

1. สร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดใจ

  • เนื้อหาโฆษณาที่สร้างสรรค์และน่าสนใจ จะช่วยให้ผู้ชมจดจำแบรนด์ของคุณได้ดีขึ้น
  • ใช้ ข้อความที่ตรงประเด็น, ภาพที่สะดุดตา และวิดีโอที่กระตุ้นอารมณ์ เพื่อเพิ่ม Engagement

ตัวอย่าง

  • สร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เช่น รีวิวสินค้า, คำแนะนำ หรือเนื้อหาให้ความรู้ที่เกี่ยวข้อง

2. เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม

การเลือกช่องทางการโฆษณาที่ตรงกับ ลักษณะและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มคุณภาพของ Impression

ตัวอย่าง

  • ใช้ Facebook Ads หากกลุ่มเป้าหมายคือวัยรุ่นหรือคนทั่วไป
  • ใช้ LinkedIn Ads สำหรับการสื่อสารกับกลุ่มมืออาชีพ

3. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล

การใช้เครื่องมืออย่าง Google Analytics หรือ Facebook Insights จะช่วยให้คุณติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพของ Impression ได้อย่างต่อเนื่อง

4. เคล็ดลับในการเพิ่ม Impression สำหรับโฆษณาหรือคอนเทนต์ของร้านค้าคุณ

  • ปรับปรุงความถี่ในการโพสต์ โดยการโพสต์คอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มการมองเห็นในช่องทางที่คุณใช้งาน
  • ใช้ภาพและวิดีโอที่น่าสนใจ  เนื่องจากสื่อมัลติมีเดียสามารถสร้างความน่าสนใจได้มากกว่าข้อความเพียงอย่างเดียว
  • ปรับแต่งโฆษณาให้ตรงเป้าหมาย โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงในแพลตฟอร์ม เช่น Facebook หรือ Google Ads
  • ร่วมมือกับ Influencer เพื่อใช้ความน่าเชื่อถือของพวกเขา ช่วยเพิ่มการมองเห็นแบรนด์ของคุณ
  • ส่งเสริมด้วยโปรโมชั่นหรือกิจกรรม ใช้ข้อเสนอพิเศษหรือกิจกรรมที่น่าสนใจเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนแชร์หรือพูดถึงคอนเทนต์ของคุณ
Impression แตกต่างกับ Reach อย่างไร

Impression แตกต่างกับ Reach อย่างไร

แม้ว่า Impression และ Reach จะเป็นตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็นคอนเทนต์ แต่ทั้งสองมีความแตกต่างอย่างชัดเจน
Impression หมายถึงจำนวนครั้งที่คอนเทนต์หรือโฆษณาปรากฏบนหน้าจอของผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเห็นโฆษณาครั้งแรกหรือการเห็นซ้ำ
  • สามารถนับซ้ำได้ หากผู้ใช้งานคนเดิมเห็นโฆษณาหลายครั้ง เช่น หากผู้ใช้งานคนหนึ่งเห็นโฆษณา 3 ครั้ง จะนับเป็น 3 Impressions
  • เป็นการวัดความถี่ที่คอนเทนต์ปรากฏบนหน้าจอของผู้ใช้งาน
Reach หมายถึงจำนวนผู้ใช้งานที่ไม่ซ้ำกันที่เห็นคอนเทนต์หรือโฆษณา
  • นับเพียงครั้งเดียวต่อผู้ใช้งาน แม้ว่าผู้ใช้งานคนเดียวจะเห็นโฆษณาหลายครั้ง ก็จะถูกนับเป็น Reach เพียงครั้งเดียว
  • เป็นการวัดจำนวนกลุ่มผู้ชมที่ไม่ซ้ำกันที่สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ของคุณ

บทสรุป

Impression คืออะไร? Impression คือ จำนวนครั้งที่คอนเทนต์หรือโฆษณาปรากฏบนหน้าจอผู้ใช้งาน โดยนับทุกการแสดงผลแม้ไม่มีการคลิก ตัวชี้วัดนี้ช่วยวัด การมองเห็น (Visibility) และวิเคราะห์ประสิทธิภาพแคมเปญร่วมกับ CTR และ Conversion Rate เพื่อประเมินประสิทธิภาพได้ลึกขึ้น ที่ Wizdom เรารับยิงโฆษณาเพื่อเพิ่ม Impression เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ติดต่อเราได้เลยทุกช่องทาง!

ปรึกษา Wizdom

สอบถามเพิ่มเติม : hello@wizdom.co.th
โทรติดต่อ : 062-353-5197
ปรึกษา Wizdom

Similar Posts