ยิงแอดคลินิก ภาพ vs วิดีโอ แบบไหนเวิร์คกว่ากัน? เป็นคำถามที่คนทำคลินิกสงสัยกันเยอะมาก บางคนก็ว่าภาพนิ่งนี่แหละไวและตรงจุดสุด แต่บางคนก็บอกว่ายังไงวิดีโอดีกว่าเยอะ จริง ๆ แล้วการเลือกใช้ให้ถูกจะช่วยให้งบยิงแอดของเราคุ้มค่าที่สุด บทความนี้ Wizdom จะมาเทียบให้ดูกันชัด ๆ ไปเลยว่าแคมเปญแบบไหนควรใช้อะไร? เพื่อช่วยให้คุณเลือกใช้คอนเทนต์ที่ใช่และคุ้มค่าที่สุดสำหรับคลินิกของคุณ!
ทำไมคอนเทนต์ถึงสำคัญกับการตลาดคลินิก
ในการทำคลินิก ความเชื่อใจของลูกค้าสำคัญกว่าราคาเสมอ เพราะคนจะเข้าคลินิก ไม่ได้มองแค่ที่ราคาถูก แต่เขามองว่าเชื่อถือได้ไหม? หรือปลอดภัยหรือเปล่า? นั่นแหละที่ทำให้คอนเทนต์กลายเป็นหัวใจของการตลาด
คอนเทนต์ที่ดีไม่ใช่แค่ขายของ แต่เป็นเหมือนผู้ช่วยที่คอยให้ข้อมูล ตอบข้อสงสัย และคลายความกังวลให้กับว่าที่ลูกค้า พอเขารู้สึกมั่นใจมากขึ้น ก็จะกล้าตัดสินใจเข้ามาใช้บริการเองแบบไม่ต้องยัดเยียดขายเลย! รูปแบบคอนเทนต์ก็มีได้หลายแบบเลย ไม่ว่าจะเป็น…
- บทความให้ความรู้จากคุณหมอ ไม่ใช่แค่ขายของ แต่โชว์ให้เห็นเลยว่าคุณหมอของเราเก่งจริงและเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ
- คลิปวิดีโออธิบายขั้นตอนการรักษา พาไปดูเลยว่าทำจริง ๆ แล้วเป็นยังไง ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด รวมถึงบรรยากาศของคลินิกสะอาดแค่ไหน เรื่องเหล่านี้ช่วยคลายความกังวลได้ดีมาก
- รีวิวเคสจริง นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ การได้เห็นผลลัพธ์จริง ๆ ที่เกิดขึ้นกับลูกค้าจริง มันทรงพลังกว่าคำโฆษณาไหน ๆ
ทั้งหมดนี้ช่วยให้คลินิกดูน่าเชื่อถือขึ้นแบบไม่ต้องพูดเยอะ และยังช่วยให้แบรนด์ของเราดูแตกต่างจากคู่แข่งที่อาจเน้นแค่ลดราคาอย่างเดียว เพราะสุดท้ายแล้ว ลูกค้าจะเลือกคลินิกที่เขารู้สึกไว้ใจที่สุด เมื่อคลินิกมีคอนเทนต์คุณภาพที่สร้างความน่าเชื่อถืออยู่ในมือแล้ว คำถามสำคัญต่อมาอย่างการ ยิงแอดคลินิก ภาพ vs วิดีโอ แบบไหนจะคุ้มค่ากว่า เรามาดูความแตกต่างทั้งสองแบบกันเลย!
คอนเทนต์ “ภาพนิ่ง” สำหรับการตลาดคลินิก
ภาพนิ่งยังคงเป็นคอนเทนต์พื้นฐานที่ทุกคลินิกต้องมี เพราะช่วยสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อต้องตัดสินใจในโจทย์เรื่อง การยิงแอดคลินิก ภาพ vs วิดีโอ การใช้ภาพนิ่งก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่น่าสนใจ ดังนี้
ข้อดีของการทำคอนเทนต์ภาพนิ่ง
แม้ยุคนี้วิดีโอจะมาแรง แต่ภาพนิ่งยังคงเป็นคอนเทนต์ที่ทรงพลังและตอบโจทย์หลายแพลตฟอร์ม ดังนี้
- ทำง่ายและรวดเร็ว
จุดเด่นของภาพนิ่งเลยก็คือความเร็ว! แค่เรามีมือถือเครื่องเดียวก็ถ่ายรูปได้เลย ไม่ต้องวุ่นวายเขียนสคริปต์ถ่ายทำ ตัดต่อเหมือนทำวิดีโอ ทำให้เราสามารถโพสต์คอนเมนต์ได้บ่อย ๆ หรือถ้ามีโปรดี ๆ อยากประกาศด่วน ก็ทำภาพเป็นใบโปร และโปรโมตได้เลย
- สื่อสารได้ตรงจุด
ในยุคที่คอนเทนต์เต็มหน้าฟีดไปหมด การทำให้คนหยุดดูและเข้าใจสิ่งที่เราจะบอกในเวลาสั้น ๆ คือสิ่งที่สำคัญ ภาพนิ่งถือว่าตอบโจทย์เพราะมันสามารถส่งสาระสำคัญไปถึงลูกค้าได้เลยโดยไม่ต้องตีความเยอะ เช่น ภาพโปรโมชั่นที่บอกว่า “ลดเท่าไหร่ ถึงวันไหน” หรือภาพ Before & After ที่โชว์ผลลัพธ์ให้เห็นกันชัด ๆ ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาคลิกหรือรอโหลด แค่เลื่อนผ่านมาเห็นก็เข้าใจได้ทันที
- ตอบโจทย์คนเล่นโซเชียล
เวลาเราเล่นโซเชียล เรามักจะเลื่อนดูฟีดไปเรื่อย ๆ เราไม่ได้อยู่ในโหมดที่พร้อมจะตั้งใจดูอะไรนาน ๆ ภาพนิ่งจึงตอบโจทย์พฤติกรรมนี้มาก เพราะมันใช้เวลาแค่ 1-3 วินาทีในการดึงความสนใจและสื่อสารจนจบ ในขณะที่วิดีโอ ถ้าไม่น่าสนใจจริงใน 3 วินาทีแรก คนส่วนใหญ่ก็เลื่อนผ่านไปแล้ว ภาพนิ่งจึงทำให้ลูกค้าได้รับข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็วกว่า
- แชร์ต่อง่าย
รูปเป็นไฟล์มีขนาดเล็ก ทำให้การแชร์ต่อทำได้ง่ายและเร็วมาก และเมื่อลูกค้าแชร์รูปของคลินิกเราให้เพื่อนของเขา มันไม่ใช่แค่โฆษณาอีกต่อไป แต่กลายเป็น “การบอกต่อแบบปากต่อปาก” ซึ่งน่าเชื่อถือกว่ากันเยอะ ที่สำคัญลูกค้ายังสามารถกดเซฟรูปโปรโมชั่นเด็ด ๆ เก็บไว้ในมือถือได้อย่างง่าย เอาไว้เปิดดูหรือยื่นให้พนักงานที่คลินิกดูได้เลย สะดวกสุด ๆ!
ข้อจำกัดของการทำคอนเทนต์ภาพนิ่ง
แม้ภาพนิ่งจะใช้ง่ายและเข้าถึงเร็ว แต่ก็มีข้อจำกัดที่คลินิคควรรู้ก่อนวางแผนคอนเทนต์ ดังนี้
- เล่าเรื่องซับซ้อนได้ไม่ดี
ภาพนิ่งอาจสวยก็จริง แต่ถ้าอยากให้ลูกค้าเข้าใจความรู้สึกหรือบรรยากาศในคลินิก เช่น ความสะอาด, ความเป็นกันเองของคุณหมอ หรือขั้นตอนละเอียด ๆ อย่างการฉีดฟิลเลอร์ ภาพนิ่งอาจสื่อสารได้ไม่ครบ วิดีโอกลับทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่า เพราะลูกค้าจะได้เห็นทุกอย่างแบบชัด ๆ เลย
- การมีส่วนร่วม (Engagement) ต่ำกว่า
เรื่องนี้ต้องยอมรับกันตรง ๆ ว่าแพลตฟอร์มอย่าง Facebook หรือ TikTok ตอนนี้เขาจะดันวิดีโอมากกว่า ก็เพราะวิดีโอมันดึงให้คนอยู่บนแอปได้นานขึ้น พอเป็นแบบนี้ระบบก็เลยช่วยดันโพสต์ที่เป็นวิดีโอให้คนเห็นเยอะกว่าภาพนิ่ง เลยทำให้โพสต์ภาพนิ่งมีโอกาสถูกมองข้ามได้ง่าย ถ้าไม่เด่นจริง
- ไม่ดึงสายตาในหน้าฟีด
เวลาเราไถฟีด Facebook หรือ IG โพสต์ต่าง ๆ มันจะไหลผ่านตาเราเร็วมาก ถ้าภาพนิ่งของเราไม่ได้สวยเด่นหรือมีอะไรน่าสนใจจริง ๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกนิ้วปัดผ่านไปกลับกันกับวิดีโอ ที่แค่มีการเคลื่อนไหวหรือมีเสียงขึ้นมานิดหน่อย ก็สามารถดึงความสนใจและทำให้คนหยุดดูได้ง่ายกว่า
- ความน่าเชื่อถือลดลง
ถ้าให้พูดในแง่ของคลินิกเสริมความงาม ภาพนิ่งสวย ๆ แค่เห็นภาพนิ่งอาจยังไม่พอให้เชื่อมั่น แต่ถ้าได้ดูคุณหมอพูด, อธิบายเคสจริง หรือให้คำแนะนำผ่านวิดีโอ มันให้ความรู้สึกที่ต่างไปเลย ลูกค้าจะได้เห็นท่าทาง, ความใส่ใจ และความเชี่ยวชาญจริง ๆ จะช่วยให้รู้สึกไว้วางใจมากขึ้น
คอนเทนต์ “วิดีโอ” สำหรับการตลาดคลินิก
วิดีโอคือหัวใจของการตลาดคลินิกยุคนี้ เพราะเล่าเรื่องได้ครบทั้งภาพ เสียง และความรู้สึก ทำให้เข้าถึงใจลูกค้าได้ง่ายกว่า และเมื่อพูดถึงการยิงแอดคลินิกภาพ vs วิดีโอ คอนเทนต์วิดีโอก็มีจะทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่โดดเด่น ดังนี้
ข้อดีของการทำคอนเทนต์วิดีโอ
และนี่คือเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้วิดีโอกลายเป็นเครื่องมือเด็ดที่ขาดไม่ได้ในยุคนี้
- สร้างความไว้ใจให้ลูกค้า
นี่คือพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของวิดีโอเลย การที่ลูกค้าได้เห็นหน้า, ได้ยินเสียง และเห็นท่าทางของคุณหมอตอนที่กำลังพูดคุย มันทำให้พวกเขารู้สึกสนิทใจ เหมือนได้ทำความรู้จักกับคุณหมอมาก่อน ความรู้สึกคุ้นเคยนี่แหละ ที่ทำให้ลูกค้ากล้าที่จะเลือกเดินเข้ามาปรึกษาที่คลินิกของเรา
- อธิบายเรื่องซับซ้อนได้ดี
ลูกค้าหลายคนมีความกังวลลึก ๆ เช่น “เลเซอร์ใช้เครื่องมืออะไร จะเจ็บไหม?” หรือ “คลินิกจะสะอาดหรือเปล่า?” วิดีโอช่วยตอบคำถามพวกนี้ได้ดีที่สุดเลยค่ะ เราสามารถถ่ายคลิปสั้น ๆ พาชมบรรยากาศในคลินิก หรือสาธิตเครื่องมือให้ดูไปเลยว่ามันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด พอเขาได้เห็นภาพความกังวลก็จะลดลงทันที
- เข้าถึงคนได้มากกว่า
เรื่องนี้ต้องยอมรับเลยว่าแพลตฟอร์มโซเชียลตอนนี้ จะชอบคอนเมนต์ที่เป็นวิดีโอเป็นพิเศษ เพราะมันทำให้คนดูเพลินจนอยู่บนแอปนานขึ้น เขาเลยตอบแทนด้วยการช่วยดันคลิปของเราให้คนเห็นเยอะกว่าภาพนิ่งโดยอัตโนมัติ ผลที่ตามมาก็คือ ยอดไลก์, คอมเมนต์, แชร์ ก็จะเยอะขึ้นตามไปด้วย
- โดดเด่นบนหน้าฟีด
ในหน้าฟีดที่ทุกอย่างผ่านไปเร็วมาก การเคลื่อนไหวของวิดีโอคือสิ่งที่สะดุดตาที่สุด มันเหมือนมีอะไรมาดึงให้เราหยุดนิ้วได้ชะงัดกว่าภาพนิ่ง ๆ การทำวิดีโอที่มีสไตล์เป็นของตัวเองสม่ำเสมอ จะทำให้ลูกค้าจำเราได้ และนึกถึงเราเป็นชื่อแรก ๆ เมื่อเทียบกับคลินิกอื่น
ข้อจำกัดของการทำคอนเทนต์วิดีโอ
ถึงวิดีโอจะเวิร์กมากแค่ไหน แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องคิดเผื่อไว้ก่อนลงมือถ่าย ดังนี้
- ใช้ต้นทุนและเวลาในการผลิตสูง
กว่าจะได้คลิปดี ๆ สักตัวนึง มันมีหลายขั้นตอนมากตั้งแต่คิดเรื่องที่จะเล่า (สคริปต์), เตรียมกล้อง ไฟ ไมค์ ไปจนถึงขั้นตอนหลังถ่ายที่ต้องมานั่งตัดต่อ, ใส่เพลง, ใส่กราฟิกอีก ทั้งหมดนี้พูดเลยว่า กินทั้งงบและเวลามากกว่าการทำภาพนิ่งเยอะเลย
- ต้องใช้ทักษะเฉพาะทาง
ไม่ใช่ว่าใครก็ถ่ายวิดีโอหรือตัดต่อวิดีโอให้น่าสนใจได้เลย การจะถ่ายให้ภาพสวย, เสียงชัด, ตัดต่อให้น่าสนใจ มันต้องใช้ทักษะและประสบการณ์พอสมควรถ้าในคลินิกเราไม่มีคนทำด้านนี้เป็น ก็อาจจะต้องจ้างฟรีแลนซ์หรือโปรดักชันเฮาส์ ซึ่งก็คือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาอีก
- ลูกค้าบางกลุ่มอาจไม่สะดวกดู
ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสะดวกดูวิดีโอเสมอไป ลูกค้าที่กำลังเดินทางบนรถไฟฟ้า, นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ หรืออยู่ในที่ที่ไม่สามารถเปิดเสียงได้ อาจจะเลื่อนผ่านคอนเทนต์วิดีโอของคุณไปเลย หากข้อมูลสำคัญอยู่ในเสียงพูดทั้งหมด พวกเขาก็จะพลาดสาระสำคัญนั้นไป
- แก้ไขข้อมูลได้ยาก
หากมีข้อมูลบางอย่างในวิดีโอที่ต้องการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง เช่น ราคาโปรโมชั่น หรือรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ การจะกลับไปแก้ไขนั้นทำได้ยากและไม่คล่องตัวเท่าภาพนิ่ง ในบางกรณีอาจจะต้องเสียเวลาถ่ายทำหรือตัดต่อใหม่ทั้งหมด ซึ่งทำให้การปรับเปลี่ยนข้อมูลให้ทัน
สถานการณ์ทำได้ช้ากว่า
ยิงแอดคลินิก ภาพ vs วิดีโอ อันไหนดีกว่ากัน?
ถ้าจะให้ตอบแบบฟันธงเลยก็คือ แล้วแต่ว่าเราอยากได้อะไรจากแอดตัวนั้น เพราะทั้งภาพนิ่งและวิดีโอต่างก็มีข้อดีและข้อจำกัดคนละแบบกัน การเลือกใช้ให้ถูกจึงสำคัญที่สุด ซึ่งเราแบ่งง่าย ๆ ตามการมใช้งานไว้แบบนี้
ภาพ เหมาะกับแคมเปญแบบไหน?
หัวใจของแอดภาพนิ่ง คือ ความชัดเจนและรวดเร็ว มันถูกออกแบบมาเพื่อสื่อสารข้อมูลสำคัญ ๆ ให้ลูกค้าเข้าใจได้ในเวลาสั้นที่สุด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจหรือลงมือทำอะไรบางอย่างทันที แอดรูปแบบนี้จะทำงานได้ดีที่สุดกับกลุ่มคนที่รู้จักคลินิกเราอยู่แล้ว หรือกำลังมองหาข้อมูลเพื่อตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย ตัวอย่างที่เห็นภาพชัด ๆ คือ
- แอดโปรโมชั่น ที่ต้องบอกราคาและวันหมดเขตให้ชัดเจนที่สุด ภาพเดียวต้องสื่อสารได้ครบ จบในตัว
- แอดที่ต้องการให้ลูกค้าจองคิว (Conversion Ad) ต้องมีข้อความ Call-to-Action ที่ทรงพลังและเห็นแล้วอยากทำตามทันที เช่น ‘ทักแชตเพื่อรับสิทธิ์เลย!’
- แอดยิงซ้ำ (Retargeting) สำหรับยิงซ้ำไปหาคนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์หรือเพจ เพื่อย้ำเตือนความสนใจและดึงให้พวกเขากลับมาปิดการขาย
วิดีโอ เหมาะกับยิงแอดแบบไหน?
ส่วนวิดีโอมีพลังในการเล่าเรื่องและสร้างความรู้สึกร่วม หน้าที่ของมันไม่ใช่การเร่งปิดการขาย แต่เป็นการค่อย ๆ สร้างความผูกพันและให้ความรู้ เพื่อทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักเรา หันมาสนใจและเชื่อใจในแบรนด์ของเราในระยะยาว จึงเหมาะมากที่จะใช้ยิงแอดหาคนกลุ่มใหม่ ๆ ที่ยังอยู่ในช่วงแรกของการตัดสินใจ ตัวอย่างการใช้งาน คือ
- คลิปให้ความรู้จากคุณหมอ จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดูเชี่ยวชาญและเข้าถึงง่าย ทำให้ลูกค้าที่ยังลังเลรู้สึกอยากที่จะเข้ามาปรึกษาด้วย
- คลิปรีวิวจากลูกค้าตัวจริง ที่มาเล่าประสบการณ์และความประทับใจ เป็นวิธีสร้างความน่าเชื่อถือที่ทรงพลังมาก เพราะเหมือนเป็นการการันตีจากผู้ใช้งานจริง
- คลิปพาชมบรรยากาศคลินิก ที่ดูสะอาด ปลอดภัย ทันสมัย ก็ช่วยลดความกังวลของลูกค้าใหม่และทำให้พวกเขารู้สึกอุ่นใจที่จะเข้ามาใช้บริการได้เป็นอย่างดี
สรุปแล้ว กลยุทธ์การยิงแอดคลินิกที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คือการใช้ทั้งสองอย่างผสมผสานกันตามลำดับ โดยอาจจะใช้วิดีโอ เป็นตัวยิงเปิดเพื่อสร้างการรับรู้ (Awareness) และทำให้คนสนใจคลินิกของเราก่อน จากนั้นจึงค่อย Retarget ตามไปด้วยภาพนิ่ง ที่เป็นโปรโมชั่นหรือภาพผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง เพื่อกระตุ้นและปิดการขายนั่นเอง
แล้วธุรกิจคลินิกของเราเหมาะกับคอนเทนต์แบบไหน?
การจะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด คลินิกของคุณต้องพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลักนี้
1. วัตถุประสงค์ของการตลาด
ก่อนอื่นเราต้องชัดเจนกับตัวเองก่อนว่าทำแคมเปญเพื่ออะไรนี้ เพราะเป้าหมายที่ต่างกัน ก็ต้องใช้วิธีที่ไม่เหมือนกันค่ะ
- ถ้าเป้าหมายคือสร้างการรับรู้ หมายถึงการเข้าถึงคนกลุ่มใหม่ ๆ ที่ยังไม่รู้จักเราเลย หรือต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้คลินิกดูเชี่ยวชาญและน่าเชื่อถือ “วิดีโอ” จะทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุด เพราะมันสามารถเล่าเรื่องราว, สร้างความรู้สึก และให้ข้อมูลที่ลึกซึ้งได้ดีกว่า ทำให้คนแปลกหน้าค่อย ๆ เปิดใจและกลายลูกค้าเราในที่สุด
- ถ้าเป้าหมายคือกระตุ้นยอดขายหรือปิดการจอง หมายถึงการกระตุ้นให้คนที่ติดตามเราอยู่แล้วรีบตัดสินใจจองคิว หรือต้องการทำโปรโมชั่นเร่งด่วน “ภาพนิ่ง” ที่สื่อสารโปรโมชั่นได้ชัดเจน ตรงไปตรงมา จะทำงานได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่ามาก เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ต้องดูเรื่องราวเยอะ แต่ต้องการข้อเสนอที่ชัดเจนเพื่อตัดสินใจทันที
2. กลุ่มเป้าหมาย
เราต้องรู้ว่าเรากำลังคุยกับใคร เขาชอบดูอะไรบนโซเชียล? นี่คือสิ่งที่ต้องเข้าใจให้ลึกซึ้ง
- ถ้าลูกค้าเป็นกลุ่มที่ชอบความสนุก เช่น กลุ่มวัยรุ่นหรือวัยเริ่มทำงานที่ใช้เวลาบน TikTok หรือ Instagram Reels เป็นส่วนใหญ่ การทำ “วิดีโอสั้น” ที่สนุกและตามเทรนด์ ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ไม่งั้นเราจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่องและเข้าไม่ถึงโลกของเขา
- ถ้าลูกค้าเป็นกลุ่มที่ชอบข้อมูลจริงจัง เช่น กลุ่มผู้ใหญ่ขึ้นมาหน่อย หรือกลุ่มที่ชอบหาข้อมูลเปรียบเทียบอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ คอนเทนต์ประเภท “ภาพ Infographic” ที่สรุปข้อมูลซับซ้อนให้เข้าใจง่ายในภาพเดียว อาจจะดึงดูดพวกเขาได้ดีและสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่า
3. งบประมาณและทรัพยากร
นี่เป็นเรื่องจริงที่หลายคลินิกมองข้ามไป ถ้าคลินิกของคุณมีทีมถ่ายทำ, มีกราฟิก หรือมีงบในการจ้างโปรดักชันอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถลุย วิดีโอคุณภาพดี ได้แบบยาว ๆ และสร้างแบรนด์ได้อย่างแข็งแรง แต่ถ้าทรัพยากรยังมีจำกัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลา, คน หรือเงิน การโฟกัสทำ ภาพนิ่งคุณภาพสูง อย่างต่อเนื่องจะคุ้มค่ากว่าในระยะยาว เพราะไม่เปลืองงบ และยังใช้งานได้หลากหลาย, ทั้งยิงแอด, โพสต์หน้าเพจ หรือใส่ในเว็บไซต์ได้อีกด้วย
สรุป
ถ้าจะให้ตอบแบบฟันธงไปเลยว่า ยิงแอดคลินิก ภาพ vs วิดีโอ อันไหนดีกว่า ต้องดูที่เป้าหมายคลินิกเป็นหลัก ถ้าเป้าหมายคือสร้างแบรนด์ให้คนเชื่อใจในระยะยาววิดีโอดีกว่า แต่ถ้าเป้าหมายคือ ปิดการขายให้ได้เร็วที่สุดในตอนนี้ ภาพนิ่งจะทำงานได้เร็วกว่า คำถามที่ถูกต้องไม่ใช่อันไหนดีกว่า แต่คือจะใช้อันไหน ตอนไหน ต่างหาก ซึ่งการวางแผนทั้งหมดนี้ให้เหมาะกับสถานการณ์ที่สุด คือส่วนที่ซับซ้อนและต้องใช้ประสบการณ์ Wizdom เราเชี่ยวชาญเรื่องการรับทำ SEO โดยเฉพาะรับทำ SEO คลินิกความงาม เรามีบริการ
รับทำการตลาดคลินิกแบบครบวงจร (ทั้งคลินิกความงามและการตลาดคลินิกทันตกรรม) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางการตลาดที่ดีที่สุด โดยที่คุณหมอไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกเอง สนใจ
สามารถปรึกษาเราได้เลยวันนี้ ฟรี!
FAQ
Post Views: 627